Monday, March 31, 2008

opensoure cms เว็บลิงค์

http://www.thainuke.org ให้ความรู้เกี่ยวกับ php-nuke ดาวน์โหลด php-nuke และ โปรแกรมเสริมต่าง ๆ
http://www.cmsthailand.com เกี่ยวกับ opensource ต่าง ๆ
http://www.mambohub.com เว็บไซต์ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับ mambo
http://www.cmsthaicenter.com เกี่ยวกับ opensource
http://www.thaicreate.com
http://sourceforge.net
http://www.thaixoops.org web oopsthai
http://www.xoopsthai.com web oopsthai
http://www.xoops.org web oops
http://www.joomlasiam.com เว็บ joomlasiam
http://www.joomlacorner.com/th
http://moodle.org
http://drupal.org เว็บ drupal
http://www.postnukethai.com
http://www.oscommerce.com oscommerce เว็บเกี่ยวกับการทำเว็บร้านค้าออนไลน์
http://www.mybloglog.com mybloglog
http://www.flixya.com
http://www.blognone.com เว็บที่ให้ความรู้ด้านไอที
http://www.bloggerhub.com
http://www.mambohub.com
http://www.pligg.com เว็บ pligg
http://www.wordpress.com สร้างเว็บบล็อกด้วย wordpress
http://www.problogger.com problogger
http://www.blogger.com สร้างเว็บบล็อกที่ บล็อกเกอร์

ไวรัส

เรื่องเดิม ๆ แต่ไม่เคยตกยุคเกี่ยวกับไวรัส


ไวรัสคอมพิวเตอร์ (Computer virus) คือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่บุกรุกเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้ ส่วนมากมักจะมีประสงค์ร้ายและสร้างความเสียหายให้กับระบบของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นๆ
ไวรัสคือ
ไวรัสเป็นโปรแกรมประเภทที่สามารถแพร่ขยายตัวเองได้ วิธีการในการจำแนกว่าส่วนของโปรแกรมนั้นเป็นไวรัสหรือไม่ นั้นดูจากการที่โปรแกรมสามารถแพร่กระจายตัวได้โดยผ่านทางพาหะ (โฮสต์)

บ่อยครั้งที่ผู้คนจะสับสนระหว่างไวรัสกับเวิร์ม เวิร์มนั้นจะมีลักษณะของการแพร่กระจากโดยไม่ต้องพึ่งพาหะ ส่วนไวรัสนั้นจะสามารถแพร่กระจายได้ก็ต่อเมื่อมีพาหะนำพาไปเท่านั้น เช่น ทางเครือข่าย หรือทางแผ่นดิสก์ โดยไวรัสนั้นอาจฝังตัวอยู่กับแฟ้มข้อมูล และเครื่องคอมพิวเตอร์จะติดไวรัสเมื่อมีการเรียกใช้แฟ้มข้อมูลนั้น

เนื่องจากไวรัสในปัจจุบันนี้ได้อาศัยบริการเครือข่ายบนคอมพิวเตอร์ เช่น เวิลด์ไวด์เว็บ อีเมลล์ และระบบแฟ้มข้อมูลร่วมในการแพร่กระจากด้วย จึงทำให้ความแตกต่างของไวรัสและเวิร์มในปัจจุบันนั้นไม่ชัดเจน

ไวรัสสามารถติดพาหะได้หลายชนิด ที่พบบ่อยคือ แฟ้มข้อมูลที่สามารถปฏิบัติการได้ของซอฟต์แวร์ หรือส่วนระบบปฏิบัติการ ไวรัสสามารถติดไปกับบูตเซ็กเตอร์ของแผ่นฟลอปปี้ดิสก์ แฟ้มข้อมูลประเภทสคริปต์ ข้อมูลเอกสารที่มีสคริปต์มาโคร นอกเหนือจากการสอดแทรกรหัสไวรัสเข้าไปยังข้อมูลดั้งเดิมของพาหะแล้วไวรัสยังสามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลเดิมในพาหะ และอาจแก้ไขให้รหัสไวรัสถูกเรียกขึ้นมาทำงานเมื่อพาหะถูกเรียงใช้งาน

ประเภทของไวรัสคอมพิวเตอร์
บูตไวรัส
บูตไวรัส (Boot Virus) คือไวรัสคอมพิวเตอร์ที่แพร่เข้าสู่เป้าหมายในระหว่างเริ่มบูตเครื่อง ส่วนมากมันจะติดต่อเข้าสู่แผ่นฟลอปปี้ดิสก์ระหว่างกำลังสั่งปิดเครื่อง เมื่อนำแผ่นที่ติดไวรัสนี้ไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ ไวรัสก็จะเข้าสู้เครื่องคอมพิวเตอร์ตอนเริ่มทำงานทันที
บูตไวรัสจะติดต่อเข้าไปอยู่ส่วนหัวสุดของฮาร์ดดิสก์ ที่มาสเตอร์บูตเรคอร์ด (Master Boot Record ) และก็จะโหลดตัวเองเข้าไปสู่หน่วยความจำก่อนที่ระบบปฏิบัติการจะเริ่มทำงาน ทำให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ไฟล์ไวรัส
ไฟล์ไวรัส (File Virus) ใช้เรียกไวรัสที่ติดไฟล์โปรแกรม

ไวรัสมาโคร
ไวรัสมาโคร (Macro Virus) คือไวรัสที่ติดไฟล์เอกสารชนิดต่างๆ ซึ่งมีความสามารถในการใส่คำสั่งมาโครสำหรับทำงานอัตโนมัติในไฟล์เอกสารด้วย ตัวอย่างเอกสารที่สามารติดไวรัสได้ เช่น ไฟล์ไมโครซอฟท์เวิร์ด ไมโครซอฟท์เอ็กเซล เป็นต้น

โทรจัน
มาโทรจัน (Trojan) คือโปรแกรมจำพวกหนึ่งที่ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อแอบแฝง การะทำการบางอย่างในเครื่องของเรา จากผู้ที่ไม่หวังดี ชื่อเรียกของโปรแกรมจำพวกนี้ มาจากตำนานของมาไม้แห่งเมืองทรอยนั่นเอง ซึ่งการติดตั้ง ไม่เหมือนกับไวรัส และหนอน ที่จะกระจายตัวได้ด้วยตัวมันเอง แต่โทรจันจุถูกแนบมากับอีการ์ด อีเมล์ หรือโปรแกรมที่มีให้ดาวน์โหลดตามอินเทอร์เน็ตในเว็บไซต์ใต้ดิน และสุดท้ายที่มันต่างกับไวรัสและเวิร์ม คือ มันจะสามารถเข้ามาในเครื่องของเรา โดยที่เราเป็นผู้รับมันมาโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง

หนอน
หนอน (Worm) เป็นรูปแบบหนึ่งของไวรัส มีความสามารถในการทำลายระบบในเครื่องคอมพิวเตอร์สูงที่สุดในบรรดาไวรัสทั้งหมด สามารถกระจายตัวได้รวดเร็ว ผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งสาเหตุที่เรียกว่าหนอนนั้น คงจะเป็นลักษณะของการกระจายและทำลาย ที่คล้ายกับหนอนกินผลไม้ ที่สามารถกระจายตัวได้มากมาย รวดเร็ว และเมื่อยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น ระดับการทำลายล้างยิ่งสูงขึ้น


การป้องกัน
โปรแกรมป้องกันไวรัส (Antivirus Software) เป็นโปรแกรมที่สร้างขึ้นเพื่อป้องกันและกำจัดไวรัสคอมพิวเตอร์ (ต่อจากนี้จะเรียกว่าไวรัส) จากผู้ไม่หวังดีทางอินเทอร์เน็ต โปรแกรมป้องกันไวรัสมี 2 แบบใหญ่ๆ

1. แอนติไวรัส เป็นโปรแกรมโปรแกรมป้องกันไวรัสทั่วๆ ไป จะค้นหาและทำลายไวรัสในคอมพิวเตอร์ของเรา
2. แอนติสปายแวร์ เป็นโปรแกรมป้องกันการโจรกรรมข้อมูล จากไวรัสสปายแวร์ และจากแฮ็กเกอร์ รวมถึงการกำจัด Adware ซึ่งเป็นป๊อบอัพโฆษณาอีกด้วย

โปรแกรมป้องกันไวรัสจะค้นหาและทำลายไวรัสที่ไฟล์โดยตรง แต่ในทุกๆ วันจะมีไวรัสชนิดใหม่
เกิดขึ้นเสมอ ทำให้เราต้องอัพเดทโปรแกรมป้องกันไวรัสตลอดเวลาเพื่อให้คอมพิวเตอร์ของเราปลอดภัย โดยแอนติไวรัสจะมีรูปแบบตามบริษัทกันไปและแต่ละบริษัทจะมีการอัพเดทและการป้องกันไม่เหมือนกัน แต่ในคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวไม่ควรมีโปรแกรมป้องกันไวรัส 2 ตัว เพราะจะทำให้โปรแกรมขัดแย้งกันเองจนไม่สามารถใช้งานได้

หัวข้อที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม เกี่ยวกับไวรัส

ไวรัส คืออะไร

Sunday, March 30, 2008

thaibloglink submit share and tag

thaibloglink เว็บไซต์ที่จะทำให้ท่านเพิ่มทราฟฟิก และอันดับเว็บที่สูงขึ้น จากการ sumbit ใน thaibloglink การใช้งานก็แสนสะดวก ดูการใช้งานได้ที่ ผู้ชายป้ายแดง เล่าเรื่องบล็อก หรือที่รู้ชื่อกันอยู่ใน johnredtor

คร่าว ๆ คุณสมบัติของ thaibloglink
" หากจะบอกว่า การเพิ่มบล็อกใน Blog directory นั้น
สำคัญมาก ในการเพิ่มทราฟริกคนเข้าบล็อกครับการเพิ่มบล็อกของคุณ ใน Directory ต่างๆนั้นจะทำให้คุณถูกค้นหน้าบล็อกได้เจอจาก Search มากขึ้นครับ
และยังมีผลต่อการเพิ่ม Pagerank ของบล็อกของคุณด้วย..
คุณสมบัติ ของ Thaibloglink.com ฉบับปัดฝุ่นมีดังนี้ครับ

1.ช่วยคุณ Bookmarks เรื่องต่างๆที่คุณสนใจครับ รวมถึงช่วยให้เวปคุณมี Rank ที่ดีใน Search Engine ได้ด้วยครับ

การเล่นก็เหมือน Zickr นั่นแหละครับ แต่สมัครและเล่นง่ายกว่าเยอะเลยครับ
ถ้าคิดว่ามันยังธรรมดาไป ไม่คู่ควรกับเรา ลองดูข้อต่อไปครับ..

2.หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ขี้เกลียด Submit เรื่องต่างๆของคุณลองใช้ Rss Submit ของเราดูครับ แค่กรอกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
เรื่องของคุณจะมีการอับเดททุกครั้งเมื่อคุณเขียน บล็อกเพิ่มเข้าไปครับ

เพียงระบุ Feed Thaibloglink ก็อับเดท ข้อมูลให้คุณอัตโนมัติ
หากจะกล่าวว่าเป็น แหล่ง Submit Feed บล็อกแห่งแรกของไทยก็คงไม่แปลกครับ
จอห์นทำนี่ก็หมด เอ็มร้อยหลายขวดนะ คุณจะไม่ลองเล่นหน่อยรึ
ทดลองคุณสมบัติเบื้องต้นได้ที่ thaibloglink"

ขอขอบคุณ
อ้าย john
thaibloglink

ไวรัส คืออะไร

คอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นชื่อเรียกสำหรับโปรแกรมประเภทหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กับไวรัสที่เป็นเชื้อโรค ที่สามารถแพร่เชื้อได้และมักทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่ แต่ต่างกันตรงที่ว่าคอมพิวเตอร์ไวรัสเป็นแค่เพียงโปรแกรมเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต
ไวรัสคืออะไร

ไวรัส คือ โปรแกรมชนิดหนึ่งที่มีความสามารถในการสำเนาตัวเองเข้าไปติดอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ได้ และถ้ามีโอกาสก็สามารถแทรกเข้าไประบาดในระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ ซึ่งอาจเกิดจากการนำเอาดิสก์ที่ติดไวรัสจากเครื่องหนึ่งไปใช้อีกเครื่องหนึ่ง หรืออาจผ่านระบบเครือข่ายหรือระบบสื่อสารข้อมูล ไวรัสก็อาจแพร่ระบาดได้เช่นกัน
การที่คอมพิวเตอร์ใดติดไวรัส หมายถึงว่าไวรัสได้เข้าไปฝังตัวอยู่ในหน่วยความจำคอมพิวเตอร์เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากไวรัสก็เป็นแค่โปรแกรมๆ หนึ่ง การที่ไวรัสจะเข้าไปอยู่ในหน่วยความจำได้นั้นจะต้องมีการถูกเรียกให้ทำงานได้นั้น ยังขึ้นอยู่กับประเภทของไวรัสแต่ละตัว ปกติผู้ใช้มักจะไม่รู้ัตัวว่าได้ทำการปลุกคอมพิวเตอร์ไวรัสขึ้นมาทำงานแ้้ล้ว
จุดประสงค์ของการทำงานของไวรัสแต่ละตัวขึ้นอยู่กับตัวผู้เขียนโปรแกรมไวรัสนั้น เช่น อาจสร้างไวรัสให้ไปทำลายโปรแกรมหรือข้อมูลอื่นๆ ที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือแสดงข้อความวิ่งไปมาบนหน้าจอ เป็นต้น

ประเภทของไวรัส

บูตเซกเตอร์ไวรัส


Boot Sector Viruses หรือ Boot Infector Viruses คือ ไวรัสที่เก็บตัวเองอยู่ในบูตเซกเตอร์ของดิสก์ การใช้งานของบูตเซกเตอร์คือเมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์เริ่มทำงานขึ้นมาตอนแรก เครื่องจะเข้าไปอ่านบูตเซกเตอร์โดยในบูตเซกเตอร์จะมีโปรแกรมเล็กๆไว้ใช้ในการเรียกระบบปฏิบัติการขึ้นมาทำงานอีกทีหนึ่ง บูตเซกเตอร์ไวรัสจะเข้าไปแทนที่โปรแกรมดังกล่าว และไวรัสประเภทนี้ ถ้าไปติดอยู่ในฮาร์ดดิสก์ โดยทั่วไปจะเข้าไปอยู่บริเวณที่เรียกว่า Master Boot Sector หรือ Parition Table ของฮาร์ดดิสก์นั้น ถ้าบูตเซกเตอร์ของฮาร์ดดิสก์ใดมีไวรัสประเภทนี้ติดอยู่ ทุกๆ ครั้งที่บูตเครื่องขึ้นมาโดย พยายามเรียกดอสจากดิสก์นี้ ตัวโปรแกรมไวรัสจะทำงานก่อนและจะเข้าไปฝังตัวอยู่ในหน่วยความจำเพื่อเตรียมพร้อมที่จะทำงานตามที่ได้ถูกโปรแกรมมา แล้วตัวไวรัสจึงค่อยไปเรียกดอสให้ขึ้นมาทำงานต่อไป ทำให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

โปรแกรมไวรัส


Program Viruses หรือ File Intector Viruses เป็นไวรัสอีกประเภทหนึ่งที่จะติดอยู่กับโปรแกรม ซึ่งปกติก็คือ ไฟล์ที่มีนามสกุลเป็น COM หรือ EXE และบางไวรัสสามารถเข้าไปติดอยู่ในโปรแกรมที่มีนามสกุลเป็น sys และโปรแกรมประเภท Overlay Programs ได้ด้วย โปรแกรมโอเวอร์เลย์ปกติจะเป็นไฟล์ีที่มีนามสกุลที่ขึ้นต้นด้วย OV วิธีการที่ไวรัสใช้เพื่อที่จะเข้าไปติดโปรแกรมมีอยู่ 2 วิธี คือ การแทรกตัวเข้าไปอยู่ในโปรแกรม ผลก็คือ หลังจากที่โปรแกรมนั้นติดไวรัสไปแล้ว ขนาดของโปรแกรมจะใหญ่ขึ้น หรืออาจมีการสำเนาตัวเองเข้าไปทับส่วนของโปรแกรมที่มีอยู่เดิม ดังนั้นขนาดของโปรแกรมจะไม่เปลี่ยนและยากที่จะซ่อมให้กลับเป็นดังเดิม การทำงานของไวรัสโดยทั่วไป คือ เมื่อมีการเรียกโปรแกรมที่ติดไวรัสอยู่ ตัวไวรัสจะเ้ข้าไปหาโปรแกรมตัวอื่นๆ ที่อยู่ในดิสก์เพื่อทำสำเนาตัวเองลงไปทันทีแล้วจึงค่อยให้โปรแกรมที่ถูกเรียกนั้น ทำงานตามปกติต่อไป

ม้าโทรจัน


ม้าโทรจัน (Trojan Horse) เป็นโปรแกรมที่ถูกเขียนขึ้นมาใ้ห้ทำตัวเหมือนว่าเป็นโปรแกรมธรรมดาทั่วๆ ไป เพื่อหลอกล่อผู้ใช้ให้ทำการเรียกขึ้นมาทำงาน แต่เมื่อถูกเรียกขึ้นมาแล้ว ก็จะเริ่มทำลายตามที่โปรแกรมมาทันที ม้าโทรจันบางตัวถูกเขียนขึ้นมาใหม่ทั้งชุด โดยคนเขียนจะทำการตั้งชื่อโปรแกรมพร้อมชื่อรุ่นและคำอธิบายการใช้งานที่ดูสมจริง เพื่อหลอกให้คนที่จะเรียกใช้ตายใจ จุดประสงค์ของคนเขียนม้าโทรจันอาจจะเช่นเดียวกับคนเขียนไวรัส คือ เข้าไปทำอันตรายต่อข้อมูลที่มีอยู่ในเครื่อง หรืออาจมีจุดประสงค์เพื่อที่จะล้วงเอาความลับของระบบคอมพิวเตอร์

ม้าโทรจันนี้อาจจะถือว่าไม่ใช่ไวรัส เพราะเป็นโปรแกรมที่ถูกเขียนขึ้นมาโดดๆ และจะไม่มีการเข้าไปติดตั้งในโปรแกรมอื่นเพื่อสำเนาตัวเอง แต่จะใช้ความรู้เท่าไม่ถึงการของผู้ใช้เป็นตัวแพร่ระบาดซอฟต์แวร์ที่มีม้าโทรจันอยู่ในนั้นและนับว่าเป็นหนึ่งในประเภทของโปรแกรมที่มีความอันตรายสูง เพราะยากที่จะตรวจสอบและสร้างขึ้นมาได้ง่าย ซึ่งอาจใช้แค่แบตซ์ไฟล์ก็สามารถโปรแกรมประเภทม้าโทรจันได้

โพลีมอร์ฟิกไวรัส


Polymorphic Viruses เป็นชื่อที่ใช้ในการเรียกไวรัสที่มีความสามารถในการแปรเปลี่ยนตัวเองได้ เมื่อมีการสร้างสำเนาตัวเองเกิดขึ้นซึ่งอาจได้ถึงหลายร้อยรูปแบบ ผลก็คือ ทำให้ไวรัสเหล่านี้ยากต่อการถูกตรวจจับ โดยโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใช้วิธีการสแกนอย่างเดียว ไวรัสใหม่ๆในปัจจุบันที่มีความสามารถนี้เริ่มมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

สทีลต์ไวรัส


Stealth Viruses เป็นชื่อเรียกไวรัสที่มีความสามารถในการพรางตัวต่อการตรวจจับได้ เช่น ไฟล์อินเฟกเตอร์ ไวรัสประเภทที่ไปติดโปรแกรมใดแล้วจะทำให้ขนาดของโปรแกรมนั้นใหญ่ขึ้น ถ้าโปรแกรมไวรัสนั้นเป็นแบบสทีลต์ไวรัส จะไม่สามารถตรวจดูขนาดที่แท้จริงของโปรแกรมที่เพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากตัวไวรัสจะเข้าไปควบคุมดอส เมื่อมีการใช้คำสั่ง DIR หรือโปรแกรมใดก็ตามเพื่อตรวจดูขนาดของโปรแกรม ดอสก็จะแสดงขนาดเหมือนเดิมทุกอย่างราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

อาการของเครื่องที่ติดไวรัส

สามารถสังเกตุการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ถ้ามีอาการดังต่อไปนี้อาจเป็นไปได้ว่าได้มีไวรัสเ้ข้าไปติดอยู่ในเครื่องแล้ว อาการที่ว่านั้น ได้แก่

ใช้เวลานานผิดปกติในการเรียกโปรแกรมขึ้นมาทำงาน
ขนาดของโปรแกรมใหญ่ขึ้น
วันเวลาของโปรแกรมเปลี่ยนไป
ข้อความที่ปกติไม่ค่อยได้เห็นกลับถูกแสดงขึ้นมาบ่อยๆ
เกิดอักษรหรือข้อความประหลาดบนหน้าจอ
เครื่องส่งเสียงออกทางลำโพงโดยไม่ได้เกิดจากโปรแกรมที่ใช้อยู่
แป้นพิมพ์ทำงานผิดปกติหรือไม่ทำงานเลย
ขนาดของหน่วยความจำที่เหลือลดน้อยกว่าปกติ โดยหาเหตุผลไม่ได้
ไฟล์แสดงสถานะการทำงานของดิสก์ติดค้างนานกว่าที่เคยเป็น
ไฟล์ข้อมูลหรือโปรแกรมที่เคยใช้อยู่ๆ ก็หายไป
เครื่องทำงานช้าลง
เครื่องบูตตัวเองโดยไม่ได้สั่ง
ระบบหยุดทำงานโดยไม่ทราบสาเหตุ
เซกเตอร์ที่เสียมีจำนวนเพิ่มขึ้นโดยมีการรายงานว่าจำนวนเซกเตอร์ที่เสียมีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนโดยที่
ยังไม่ได้ใช้โปรแกรมใดเข้าไปตรวจหาเลย


การตรวจหาไวรัส

การสแกน


โปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใช้ิวิธีการสแกน (Scanning) เรียกว่า สแกนเนอร์ (Scanner) โดยจะมีการดึงเอาโปรแกรมบางส่วนของตัวไวรัสมาเก็บไว้เป็นฐานข้อมูล ส่วนที่ดึงมานั้นเราเรียกว่า ไวรัสซิกเนเจอร์ (VirusSignature) และเมื่อสแกนเนอร์ถูกเรียกขึ้นมาทำงานก็จะเข้าตรวจหาไวรัสในหน่วยความทรงจำ บูตเซกเตอร์และไฟล์โดยใช้ไวรัสซิกเนเจอร์ที่มีอยู่

ข้อดีของวิธีการนี้ก็คือ เราสามารถตรวจสอบซอฟต์แวร์ที่มาใหม่ได้ทันทีเลยว่าติดไวรัสหรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้ไวรัสถูกเรียกขึ้นมาทำงานตั้งแต่เริ่มแรก
แต่วิธีนี้มีจุดอ่อนหลายข้อ คือ

1. ฐานข้อมูลที่เก็บไวรัสซิกเนเจอร์จะต้องทันสมัยอยู่เสมอ และครอบคลุมไวรัสทุกตัวมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
2. เพราะสแกนเนอร์จะไม่สามารถตรวจจับไวรัสที่ยังไม่มีซิกเนเจอร์ของไวรัสนั้นเก็บอยู่ในฐานข้อมูลได้
3. ยากที่จะตรวจจับไวรัสประเภทโพลีมอร์ฟิก เนื่องจากไวรัสประเภทนี้เปลี่ยนแปลงตัวเองได้
4. จึงทำให้ไวรัสซิกเนเจอร์ที่ใช้สามารถนำมาตรวจสอบได้ก่อนที่ไวรัสจะ้เปลี่ยนตัวเองเท่านั้น
5. ถ้ามีไวรัสประเภทสทีลต์ไวรัส ติดอยู่ในเครื่องตัวสแกนเนอร์อาจจะไม่สามารถตรวจหาไวรัสนี้ได้
6. ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความฉลาดและเทคนิคที่ใช้ของตัวไวรัสและของตัวสแกนเนอร์เองว่าใครเก่งกว่า
7. เนื่องจากไวรัสมีตัวใหม่ๆ ออกมาอยู่เสมอๆ ผู้ใช้จึงจำเป็นต้องหาสแกนเนอร์ตัวที่ใหม่ที่สุดมาใช้
8. มีไวรัสบางตัวจะเข้าไปติดในโปรแกรมทันทีที่โปรแกรมนั้นถูกอ่าน และถ้าสมมติ
9. ว่าสแกนเนอร์ที่ใช้ไม่สามารถตรวจจับได้ และถ้าเครื่องมีไวรัสนี้ติดอยู่ เมื่อมีการ
10. เรียกสแกนเนอร์ขึ้นมาทำงาน สแกนเนอร์จะเข้าไปอ่านโปรแกรมทีละโปรแกรมเพื่อตรวจสอบ
11. ผลก็คือจะทำให้ไวรัสตัวนี้เข้าไปติดอยู่ในโปรแกรมทุกตัวที่ถูกสแกนเนอร์นั้นอ่านได้
12. สแกนเนอร์รายงานผิดพลาดได้ คือ ไวรัสซิกเนเจอร์ที่ใช้บังเอิญไปตรงกับที่มี
13. อยู่ในโปรแกรมธรรมดาที่ไม่ได้ติดไวรัส ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในกรณีที่ไวรัสซิกเนเจอร์ที่ใช้มีขนาดสั้นไป
14. จะทำให้โปรแกรมดังกล่าวใช้งานไม่ได้อีกต่อไป


การตรวจการเปลี่ยนแปลง

การตรวจการเปลี่ยนแปลง คือ การหาค่าพิเศษอย่างหนึ่งที่เรียกว่า เช็คซัม (Checksum) ซึ่งเกิดจากการนำเอาชุดคำสั่งและข้อมูลที่อยู่ในโปรแกรมมาคำนวณ หรืออาจใช้ข้อมูลอื่นๆ ของไฟล์ ได้แก่ แอตริบิวต์ วันและเวลา เข้ามารวมในการคำนวณด้วย เนื่องจากทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งหรือข้อมูลที่อยู่ในโปรแกรม จะถูกแทนด้วยรหัสเลขฐานสอง เราจึงสามารถนำเอาตัวเลขเหล่านี้มาผ่านขั้นตอนการคำนวณทางคณิตศาสตร์ได้ ซึ่งวิธีการคำนวณเพื่อหาค่าเช็คซัมนี้มีหลายแบบ และมีระดับการตรวจสอบแตกต่างกันออกไป เมื่อตัวโปรแกรมภายในเกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าไวรัสนั้นจะใช้วิธีการแทรกหรือเขียนทับก็ตาม เลขที่ได้จากการคำนวณครั้งใหมจะเปลี่ยนไปจากที่คำนวณได้ก่อนหน้านี้

ข้อดีของการตรวจการเปลี่ยนแปลงก็คือ สามารถตรวจจับไวรัสใหม่ๆ ได้ และยังมีความสามารถในการตรวจจับไวรัสประเภทโพลีมอร์ฟิกไวรัสได้อีกด้วย แต่ก็ยังยากสำหรับสทีลต์ไวรัส ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความฉลาดของโปรแกรมตรวจหาไวรัสเองด้วยว่า จะสามารถถูกหลอกโดยไวรัสประเภทนี้ได้หรือไม่ และมีวิธีการตรวจการเปลี่ยนแปลงนี้จะตรวจจับไวรัสได้ก็ต่อเมื่อไวรัสได้เข้าไปติดอยู่ในเครื่องแล้วเท่านั้น และค่อนข้างเสี่ยงในกรณีที่เริ่มมีการคำนวณหาค่าเช็คซัมเป็นครั้งแรก เครื่องที่ใช้ต้องแน่ใจว่าบริสุทธิ์พอ คือต้องไม่มีโปรแกรมใดๆ ติดไวรัส มิฉะนั้นค่าที่หาได้จากการคำนวณที่รวมตัวไวรัสเข้าไปด้วย ซึ่งจะลำบากภายหลังในการที่จะตรวจหาไวรัสตัวนี้ต่อไป

การเฝ้าดู


เพื่อที่จะให้โปรแกรมตรวจจับไวรัสสามารถเฝ้าดูการทำงานของเครื่องได้ตลอดเวลานั้น จึงได้มีโปรแกรมตรวจจับไวรัสที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นโปรแกรมแบบเรซิเดนท์หรือ ดีไวซ์ไดรเวอร์ โดยเทคนิคของการเฝ้าดูนั้นอาจใช้วิธีการสแกนหรือตรวจการเปลี่ยนแปลง หรือสองแบบรวมกันก็ได้ การทำงานโดยทั่วไป ก็คือ เมื่อซอฟแวร์ตรวจจับไวรัสที่ใช้วิธีนี้ถูกเรียกขึ้นมาทำงานก็จะเข้าไปตรวจในหน่วยความจำของเครื่องก่อนว่ามีไวรัสติดอยู่หรือไม่โดยใช้ไวรัสซิกเนเจอร์ที่มีอยู่ในฐานข้อมูล จากนั้นจึงค่อยนำตัวเองเข้าไปฝังอยู่ในหน่วยความจำ และต่อไปถ้ามีการเรียกโปรแกรมใดขึ้นมาใช้งาน โปรแกรมเฝ้าดูนี้ก็จะเข้าไปตรวจโปรแกรมนั้นก่อนโดยใช้เทคนิคการสแกนหรือตรวจการเปลี่ยนแปลงเพื่อหาไวรัส ถ้าไม่มีปัญหาก็จะอนุญาตให้โปรแกรมนั้นขึ้นมาทำงานได้ นอกจากนี้โปรแกรมตรวจจับไวรัสบางตัวยังสามารถตรวจสอบขณะที่มีการคัดลอกไฟล์ได้อีกด้วย
ข้อดีของวิธีนี้ คือ เมื่อมีการเรียกโปรแกรมใดขึ้นมา โปรแกรมนั้นจะถูกตรวจสอบก่อนทุกครั้งโดยอัตโนมัติ ซึ่งถ้าเป็นการใช้สแกนเนอร์จะสามารถทราบได้ว่าโปรแกรมใดติดไวรัสอยู่ ก็ต่อเมื่อทำการเรียกสแกนเนอร์นั้นขึ้นมาทำงานก่อนเท่านั้น
ข้อเสียของโปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูก็คือ จะมีเวลาที่เสียไปสำหรับการตรวจหาไวรัสก่อนทุกครั้ง และเนื่องจากเป็นโปรแกรมแบบเรซิเดนท์หรือดีไวซ์ไดรเวอร์ จึงจำเป็นจะต้องใช้หน่วยความจำส่วนหนึ่งของเครื่องตลอดเวลาเพื่อทำงาน ทำให้หน่วยความจำในเครื่องเหลือน้อยลง และเช่นเดียวกับสแกนเนอร์ ก็คือ จำเป็นจะต้องมีการปรับปรุงฐานข้อมูลของไวรัสซิกเนเจอร์ให้ทันสมัยอยู่เสมอ

คำแนะนำและการป้องกันไวรัส

สำรองไฟล์ข้อมูลที่สำคัญ
สำหรับเครื่องที่มีฮาร์ดดิสก์ อย่าเรียกดอสจากฟลอปปีดิสก์
ป้องกันการเขียนให้กับฟลอปปีดิสก์
อย่าเรียกโปรแกรมที่ติดมากับดิสก์อื่น
เสาะหาโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใหม่และมากกว่าหนึ่งโปรแกรมจากคนละบริษัท
เรียกใช้โปรแกรมตรวจหาไวรัสเป็นช่วงๆ
เรียกใช้โปรแกรมตรวจจับไวรัสแบบเฝ้าดูทุกครั้ง
เลือกคัดลอกซอฟแวร์เฉพาะที่ถูกตรวจสอบแล้วในบีบีเอส
สำรองข้อมูลที่สำคัญของฮาร์ดิสก์ไปเก็บในฟลอปปีดิสก์
เตรียมฟลอปปีดิสก์ที่ไว้สำหรับให้เรียกดอสก์ขึ้นมาทำงานได้
เืมื่อเครื่องติดไวรัส ให้พยายามหาที่มาของไวรัสนั้น



การกำจัดไวรัส

เมื่อแน่ใจว่าเครื่องติดไวรัสแล้ว ให้ทำการแก้ไขด้วยความใคร่ครวญและระมัดระวังอย่างมาก เพราะบางครั้งตัวคนแก้เองจะเป็นตัวทำลายมากกว่าตัวไวรัสจริงๆ เสียอีก การฟอร์แมตฮาร์ดดิสก์ใหม่อีกครั้งก็ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดเสมอไป ยิ่งแย่ไปกว่านั้นถ้าทำไปโดยยังไม่ได้มีการสำรองข้อมูลขึ้นมาก่อน การแก้ไขนั้นถ้าผู้ใช้มีความรู้เกี่ยวกับไวรัสที่กำลังติดอยู่ว่าเป็นประเภทใดก็จะช่วยได้อย่างมาก และข้อเสนอแนะต่อไปนี้อาจจะมีประโยชน์ต่อท่าน

บูตเครื่องใหม่ทันทีที่ทราบว่าเครื่องติดไวรัส

เมื่อทราบว่าเครื่องติดไวรัสให้ทำการบูตเครื่องใหม่ทันที โดยเรียกดอสขึ้นมาทำงานจากฟลอปปีดิสก์ที่ได้เตรียมไว้ เพราะถ้าไปเรียกดอสจากฮาร์ดดิสก์ เป็นไปได้ว่าตัวไวรัสอาจกลับเข้าไปในหน่วยความจำได้อีก เมื่อเสร็จขั้นตอนการเรียกดอสแล้ว ห้ามเรียกโปรแกรมใดๆ ก็ตามในดิสก์ที่ติดไวรัส เพราะไม่ทราบว่าโปรแกรมใดบ้างที่มีไวรัสติดอยู่

เรียกโปรแกรมไวรัสขึ้นมาตรวจหาและทำลาย


ให้เรียกโปรแกรมตรวจจับไวรัส เพื่อตรวจสอบดูว่ามีโปรแกรมใดบ้างติดไวรัส ถ้าโปรแกรมตรวจหาไวรัสที่ใช้อยู่สามารถกำจัดไวรัสตัวที่พบได้ก็ให้ลองทำดู แต่ก่อนหน้านี้ให้ทำการคัดลอกเพื่อสำรองโปรแกรมาที่ติดไวรัสไปเสียก่อน โดยโปรแกรมจัดการไวรัสบางโปรแกรมสามารถสั่งให้ทำสำรองโปรแกรมที่ติดไวรัสไปเป็นอีกชื่อหนึ่งก่อนที่จะกำจัดไวรัส เช่น MSAV ของดอสเอง เป็นต้น
การทำสำรองก็เพราะว่า เมื่อไวรัสถูกกำจัดออกจากโปรแกรมไป โปรแกรมนั้นอาจไม่สามารถทำงานได้ตามปกติหรือทำงานไม่ได้เลยก็เป็นไปได้ วิธีการตรวจขั้นต้น คือ ให้ลองเปรียบเทียบขนาดของโปรแกรมหลังจากที่ถูกกำจัดไวรัสไปแล้วกับขนาดเดิม ถ้ามีขนาดน้อยกว่าแสดงว่าไม่สำเร็จ หากเป็นเช่นนั้นให้เอาโปรแกรมที่ติดไวรัสที่สำรองไว้ แล้วหาโปรแกรมจัดการไวรัสตัวอื่นมาใช้แทน แต่ถ้ามีขนาดมากกว่าหรือเท่ากับของเดิม เป็นไปได้ว่าการกำจัดไวรัสอาจสำเร็จ โดยอาจลองเรียกโปรแกรมตรวจหาไวรัสเพื่อทดสอบโปรแกรมอีกครั้ง
หากผลการตรวจสอบออกมาว่าปลอดเชื้อ ก็ให้ลองเรียกโปรแกรมที่ถูกกำจัดไวรัสไปนั้นขึ้นมาทดสอบการทำงานดูอย่างละเอียดว่าเป็นปกติดีอยู่หรือไม่อีกครั้ง ในช่วงดังกล่าวควรเก็บโปรแกรมนี้ที่สำรองไปขณะที่ติดไวรัสอยู่ไว้ เผื่อว่าภายหลังพบว่าโปรแกรมทำงานไม่เป็นไปตามปกติ ก็สามารถลองเรียกโปรแกรมจัดการไวรัสตัวอื่นขึ้นมากำจัดต่อไปในภายหลัง แต่ถ้าแน่ใจว่าโปรแกรมทำงานเป็นปกติดี ก็ทำการลบโปรแกรมสำรองที่ยังติดไวรัสอยู่ทิ้งไปทันที เป็นการป้องกันไม่ให้มีการเรียกขึ้นมาใช้งานภายหลังเพราะความบังเอิญได้

มารู้จัก cookie กัน

วิธีหนึ่งที่จะเก็บข้อมูลของผู้ใช้ไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้เอง เพื่อสะดวกแก่การทำงานของเว็บเราก็คือ cookies ค่ะ ตัวอย่างของการใช้ cookies ก็เช่น ใน e-commerce เว็บ เราอาจจะเก็บข้อมูลสินค้าที่สั่งซื้อโดยลูกค้าเอาไว้เพื่อนำไปประมวลผลตอนลูกค้ากรอกข้อมูลชำระเงินเป็นต้น

Cookies ยังสามารถใช้เก็บข้อมูล login ของผู้ใช้ได้อีกด้วย แต่ด้วยเหตุผลที่ว่าข้อมูลที่เก็บใน cookies นั้นไม่ได้เข้ารหัสเอาไว้ การเก็บ login ใน cookies จึงไม่ใช่วิธีการที่ดีนัก แต่อาจจะใช้ได้ในกรณีที่เรากำหนดอายุของ cookies เอาไว้แค่ระหว่างเปิดและปิด browser ความปลอดภัย Cookies ถือได้ว่าปลอดภัยและเป็นส่วนตัวต่อผู้ใช้ เพราะ Cookies เป็น text file จึงไม่สามารถ executed ได้ ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาการติด virus จาก cookies

นอกจากนี้ cookies ไม่สามารถอ่านข้อมูลใน hard drive ของผู้ใช้ได้ จึงไม่สามารถละเมิดหรือขโมยข้อมูลของผู้ใช้ได้ ในฐานะของคนเขียนโปรแกรม ควรพึงระลึกไว้ว่า ผู้ใช้อาจจะปิดระบบ cookies ได้ ดังนั้นจึงไม่ควรไว้ใจการใช้ cookies เพื่อการทำงานที่สำคัญๆของเว็บมากนัก

ข้อจำกัด Web browser สามารถเก็บ cookies ได้ในปริมาณที่จำกัดดังนี้ 300 cookies โดยรวม: เมื่อ browser เก็บ cookies จนถึง limi แล้ว cookies ตัวเก่าสุดจะถูกลบออกไป ตัวใหม่จะเข้ามาแทนที่ 4 kb ต่อ 1 cookies: ถ้า cookies แต่ละตัวมีขนาดใหญ่กว่า limit มันจะถูกตัดออกจนได้ขนาด 4 kb 20 cookies ต่อ server หรือ domain: Web browser จะเก็บ cookies ที่มาจากแต่ละ server หรือ domain ได้ 20 cookies Cookies จะถูกโหลดลง memory เมื่อเปิด browser และ จะถูกเขียนลงบน disk เมื่อปิด browser

ในกรณีที่ browser ถูกปิดแบบไม่ปกติ cookies จะหายไป เพราะไม่สามารถจะถูกเขียนลง disk ได้ Cookies Attribute Cookies มี 6 attribute ได้แก่

1.Name: เป็นชื่อของ cookies อันนี้ต้องมีในแต่ละ cookies

2.Value: เป็นค่าที่เก็บไว้ใน cookies ไม่ต้องใส่ก็ได้

3.Expiration: กำหนดเวลาหมดอายุ ถ้าไม่ระบุ cookies จะมีอายุยืนแค่ระหว่างเราเปิดและปิด browser เท่านั้น Cookies มี format ดังนี้ Weekday, DD-MMM-YYYY HH:MM:SS GMT Format ของ cookies จะตายตัวมาก ห้ามใส่ผิด เพราะไม่เช่นนั้น cookies จะอายุสั้นแค่เปิดและปิด browser หรืออาจจะไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเลยก็ได้

4. Domain: อันนี้ใช้โดย browser เพื่อตรวจว่าเว็บไหนสามารถใช้ cookies อันไหนได้บ้าง ข้อสำคัญประการหนึ่ง เราควรกำหนด domain ไว้ 2 dot อย่างเช่น www.cgistreet.com เพราะถ้าเรากำหนดแค่ .com เว็บทุกเว็บที่เป็น .com จะสามารถใช้ cookies อันนั้นๆได้ ถ้าattribute ตัวนี้ไม่ได้ถูกกำหนด domain ที่สร้าง cookies นั้นๆขึ้นมาจะเป็นตัว

5. Default Path: อันนี้จะระบุให้ลึกลงไปว่าเว็บหน้าไหนใน domain จะสามารถใช้ cookies ได้ มีสิ่งหนึ่งที่อยากเตือนไว้ ถ้าเรากำหนด path เอาไว้อย่างเช่น /net ไม่เพียงแต่หน้าเว็บใน /net เท่านั้นที่ใช้ cookies ได้ หน้าเว็บใน /neto, /netstack, และอื่นๆที่ขึ้นต้นด้วย /net สามารถจะใช้ cookies นั้นๆได้ด้วย

6. Secure: ถ้าเรากำหนด cookies เป็น secure cookies จะถูกส่งได้ในระบบ secure เท่านั้นเช่น SSL ถ้าไม่กำหนดค่านี้ไว้ cookies จะส่งได้ทั่วไป

ที่มา http://www.dld.go.th/ict/article/internet/net06.html

google คืออะไร การใช้งาน google

มีเกร็ดเล็ก ๆ น้อยมาฝากคะ จาก เว็บไซต์ เป็นทิปคอม ความรู้เล็ก ๆ น้อย ประดับความรู้คะ เกี่ยวกับ google http://www.dld.go.th/ict/article/เว็บไซต์ Google (www.Google.com) เป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการในการค้นหาข้อมูลในโลกของอินเตอร์เน็ต โดยค้นหาข้อมูลจากข้อความ หรือตัวอักษรที่พิมพ์เข้าไป แล้วทำการค้นหาข้อมูล รูปภาพ หรือเว็บเพจที่เกี่ยวข้องนำมาแสดงผล เว็บไซต์ Google ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตที่ต้องการค้นหาข้อมูล
เว็บไซต์ Google แบ่งหมวดหมู่ของการค้นหาออกเป็น 4 หมวดหมู่ด้วยกัน ดังนี้คือ

เว็บ (Web) เป็นการค้นหาข้อมูลในรูปแบบของเว็บไซต์ต่าง ๆ ทั่วโลก โดยการแสดงผลจะแสดงเว็บไซต์ที่มีคำที่เป็น Keyword อยู่ภายเว็บไซต์นั้น
รูปภาพ (Images) เป็นการค้นหารูปภาพจากการแปลคำ Keyword
กลุ่มข่าว (News) เป็นการค้นหาข้อมูลที่เป็นเนื้อหาที่อยู่ในข่าว ซึ่งมีการระบุชื่อผู้เขียนข่าว, หัวข้อข่าว, วันที่และเวลาที่โพสต์ข่าว
สารบบเว็บ (Web Directory) Google มีการจัดประเภทของเว็บไซต์ออกเป็นหมวดหมู่ ซึ่งเราสามารถค้นหาเว็บในเรื่องที่ต้องการตามหมวดหมู่ที่มีอยู่แล้วได้เลย


วิธีการใช้งาน Google ค้นหาข้อมูลแบบติดจรวด
การค้นหาโดยทั่วไปส่วนใหญ่แล้วจะใช้คำ Keyword เป็นเครื่องมือในการนำทางการค้นหาอย่างเดียว แต่ถ้าเรารู้จักใช้เครื่องหมายบางตัวร่วมด้วย ก็จะทำให้ขอบเขตการค้นหาของ Google แคบลง ทำให้เราได้ข้อมูลที่ตรงกับความต้องการมากขึ้น เครื่องหมายที่สามารถนำมาช่วยในการค้นหาได้ มีดังนี้
การค้นหาด้วยเครื่องหมายบวก (+) เหมาะสำหรับการค้นหาคำ Keyword ที่มีลักษณะเป็นตัวเชื่อม เพราะโดยหลักการทำงานของ Google แล้ว Google จะไม่ค้นหาคำประเภทตัวเชื่อม เช่น at, with, on, what, when, where, how, the, to, of ถึงแม้ว่าเราจะมีการระบุเหล่านี้ลงใน Keyword ด้วยก็ตาม
ดังนั้นถ้าเราต้องการให้ Google ทำการค้นหาคำเหล่านี้ด้วย เนื่องจากเป็นคำสำคัญของประโยคที่เราต้องการ สามารถใช้เครื่องหมาย + ช่วยได้ โดยมีเงื่อนไข ว่า ก่อนหน้าเครื่องหมาย + ต้องมีการเว้นวรรค 1 เคาะด้วย เช่น ถ้าต้องการค้นหาเว็บไซต์เกี่ยวกับเกมส์ที่มีชื่อว่า Age of Empire ถ้าเราพิมพ์ Keyword ...Age of Empire… Google จะทำการค้นหาแยกคำโดยไม่สนใจ of คืออาจจะค้นหา Age หรือ Empire แค่ตัวเดียว แต่ถ้าเราระบุว่า Age +of Empire Google จะทำการค้นหาทั้งคำว่า Age, of และ Empire เป็นต้น

ตกแต่ง hi5 รวมเว็บ แต่ง hi5

ตกแต่ง hi5 ในแบบต่างๆ ลูกเล่นมากมาย
http://www.crazyprofile.com
http://www.graphiclayouts.net
http://www.mycodesplace.com/
http://thaiblogger.org/marquee-tags.html /
http://www.codetukyang.com/java
http://www.pimp-my-profile.com/
http://www.poqbum.com/
http://img227.imageshack.us


เวป เปลี่ยน รูป cursor
http://www.cursorpedia.com/
http://www.totallyfreecursors.com/index.cfm
http://www.htmate2.com/cursors/index.php
http://www.dressupmyspace.com/cuflowers.shtml
http://www.myspacecursor.net/arrow-cursors.html

ขอขอบคุณวิธีการตกแต่งhi5 ให้สวยหรูโดย
virusrayam.hi5.com

วิธีทำลิงค์ copy link ไปวางบน address bar คะ

Saturday, March 29, 2008

ระวังแฮกเกอร์ขโมยเว็บไซต์เรียกค่าไถ่

มีทิปคอม เล็ก ๆน้อยมาแจ้งเตือนครับ ข่าวมาจาก adslthailand.com

เตือนเจ้าของเว็บระวังโดเมนเนมถูกแฮก เกอร์ขโมยไปเรียกค่าไถ่แล้วโพสรูปโป๊อนาจารแทน ทำให้ข้อมูลและลูกค้าได้รับความเสียหาย แนะเก็บข้อมูลหลักฐานการเป็นเจ้าของเว็บให้ดี

เว็บไซต์ดอทอะไรและชมรมผู้ประกอบการธุรกิจโฮสติ้ง จัดเสวนาเรื่อง เว็บหายโดเมนถูกเรียกค่าไถ่ จะแก้ปัญหาอย่างไร

นายไพรัตน์ เครือชัยสุ เจ้าของเว็บ bcoms.net ที่ถูกขโมยโดเมนไป กล่าวว่า โดเมนถูกขโมยไปตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2551 และคนที่ขโมยก็พยายามติดต่อเข้ามาเพื่อจะเรียกค่าไถ่ ให้ซื้อเว็บไซต์คืน ราคาประมาณ 1,500 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 5 หมื่นบาท ระหว่างนั้น เว็บไซต์ถูกเปลี่ยนไปเป็นเว็บอนาจาร เมื่อได้รับความช่วยเหลือก็ได้รับเว็บไซต์คืนมา โดยไม่เสียค่าไถ่ ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเว็บไซต์มีค่อนข้างมากทั้งจำนวนลูกค้าและข้อมูลที่หายไป

นางสาวเพ็ญศรี อรุณวัฒนามงคล กรรมการผู้จัดการบริษัท ดอทอะไร ระบุว่า โชคดี ของเว็บไซต์ bcoms.net ที่มีเอกสารค่อนข้าง ครบ ทำให้ง่ายต่อการแสดงตัวเป็นเจ้าของ ทาง ดอทอะไร ได้ประสานกับหน่วยงานในต่างประเทศ ทั้ง ICann และ Register ใช้เวลาดำเนินการประมาณ 13 วัน จึงได้โดเมนเนมกลับคืน

วิธีการป้องกันในกรณีโดเมนหายนั้น ไม่ควรใช้ e-mail เพื่อนภายใต้โดเมน เพราะหากมีการเคลื่อนย้ายไปไว้ที่อื่นก็จะทำให้หาไม่เจอและไม่ควรใช้ e-mail ซ้ำกับกรณีอื่น ๆ และเมื่อใดที่ โดเมนถูกขโมย เราสามารถเข้าไปเช็กที่ who is.. ว่าเป็นชื่อที่จดทะเบียน และต้องตรวจสอบเป็นประจำ

นางภูมิจิต ศิระวงศ์ประเสริฐ ประธานชมรมผู้ประกอบการธุรกิจโฮสติ้ง กล่าวว่า หลังจากเว็บ ไซต์บีคัมดอตเน็ตได้มาขอความช่วยเหลือ จึงได้ติดต่อไปทาง ดอทอะไร ซึ่งเป็น register รายเดียวในประเทศไทย เพื่อช่วยติดต่อประสานงานกับทางต่างประเทศ ส่วนทางชมรมก็ประสานงานกับผู้เสียหาย

พ.ต.ท.สันติพัฒน์ พรหมะจุล รองผู้กำกับ กลุ่มงานตรวจสอบและวิเคราะห์การกระทำผิดทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า มาตรการป้องกันโดเมน หากพบว่าโดเมนหาย ให้แจ้งที่ชมรมผู้ประกอบการโฮสติ้งหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะมีกฎหมายคุ้มครองในกรณีที่เกิด ปัญหาขึ้นนั้น หากพบว่า มีการทำให้เว็บไซต์เสียหาย โดยที่เจ้าของไม่เห็นด้วย มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท.

ข่าว : เดลินิวส์

Thursday, March 27, 2008

seo ทำงานอย่างไร

SEO ทำงานอย่างไร
เป้าหมายของการใช้ SEO คือ เพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ ซึ่งคุณก็สามารถทำได้โดยพัฒนาปรับปรุงหรือ
เปลี่ยนแปลงเนื้อหาของเว็บไซต์ให้เหมาะสม และสอดคล้องกับหลักการทำงานของ Search Engine ต่างๆ
พร้อมกันนี้ เราได้จัดเตรียมขั้นตอนง่ายๆ ของการทำให้เว็บไซต์ของคุณก้าวขึ้นสู่อันดับต้นๆ ของการแสดงผล
การค้นหาเว็บไซต์ของ Search Engine ไว้ที่ด้านล่างนี้แล้ว


ปัจจัยที่ส่งผลโดยตรงต่อการทำงานของ Search Engine คือ คีย์เวิร์ดหรือคำค้นหาเว็บไซต์ ที่คุณเลือกใช้
ให้กับเว็บไซต์ของคุณเอง ซึ่งนับได้ว่าเป็นหัวใจในการนำพาผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตให้เข้ามาชมเว็บไซต์ของ
คุณดังนั้น คุณจึงจำเป็นต้องทำการคัดเลือกคีย์เวิร์ด, title และเนื้อหาให้ดีที่สุดเพื่อประโยชน์สูงสุดสำหรับ
เว็บไซต์ของคุณเอง


คีย์เวิร์ดที่จะนำมาใช้กับเว็บไซต์ควรได้รับการคัดเลือกมาเป็นอย่างดี เพราะถ้าหากคีย์เวิร์ดที่คุณเลือกใช้
ให้กับเว็บไซต์ตรงกับคำค้นหาเว็บไซต์ของผู้ใช้บริการ ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตก็จะสามารถค้นพบเว็บไซต์
ของคุณได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้แล้วยังมีประโยชน์โดยตรงต่อการพัฒนาอันดับผลการค้นหา
เว็บไซต์ของ Search Engine ต่างๆ ด้วย


ขั้นตอนง่ายๆ สำหรับการทำให้เว็บไซต์ของคุณก้าวขึ้นสู่อันดับต้นๆ ของการแสดงผลการค้นหาเว็บไซต์ของ
Search Engine:


ตรวจสอบจำนวนครั้งของการใช้ Keyword หรือคำค้นหาเว็บไซต์ของผู้เข้าชมเว็บไซต์
Keyword ใดมีอัตราการใช้ 5 - 15% ของการใช้ Keyword หรือคำค้นหาเว็บไซต์ทั้งหมด
แสดงว่า Keyword คำนั้นมีประสิทธิภาพอยู่ในเกณฑ์ที่ดี คุณสามารถตรวจสอบจำนวนครั้ง
การใช้ Keyword โดยเปรียบเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ได้ ที่นี่
เพิ่มลิงค์ให้กับเว็บไซต์ของคุณ ทั้งลิงค์จากเว็บไซต์อื่น (backlink) และลิงค์ในเว็บไซต์ของคุณเอง
(crosslink) รวมทั้งใช้ชื่อสำหรับเรียกโลโก้ และกราฟิกต่างๆ (anchor-text) วิธีทั้งหมดจะส่งผล
ให้ bot และ spider ของ Search Engine ต่างๆ เข้ามาตรวจสอบเว็บไซต์คุณเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น
ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตก็จะสามารถค้นหาเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายขึ้น ข้อสังเกต : MSN จะไม่ใช้ bot
และ spider ในการค้นหาเว็บไซต์ แต่จะค้นหาเว็บไซต์จากโฆษณาออนไลน์, เว็บไซต์ผู้สนับสนุน
(sponsor listing) และไดเรกทอรี แต่คุณสามารถจัดทำแผนที่เว็บไซต์ (site map) หรือลิงค์
ในเว็บไซต์ของคุณเอง (crosslink) เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้หมดไปได้

ตรวจสอบ title ของแต่ละหน้าเว็บไซต์ของคุณว่า กระชับได้ใจความและสอดคล้องกับเนื้อหาของ
เว็บไซต์หรือไม่

อธิบายบริการหรือสินค้าของเว็บไซต์ของคุณให้ละเอียด และครอบคลุมมากที่สุด

เพิ่มเนื้อหาของเว็บไซต์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แต่เนื้อหาที่เพิ่มต้องเกี่ยวข้องและสอดคล้องกับ
เนื้อหาเว็บไซต์ในส่วนอื่นๆ ด้วย

บริการ SEO
บริการ SEO เป็นอีกบริการหนึ่งที่มีขอบเขตกว้างมาก เพราะเป็นบริการที่ให้บริการทั้งเว็บไซต์ที่กำลังจัดสร้าง
และเว็บไซต์ที่จัดสร้างเรียบร้อยแล้ว บริการ SEO จะให้บริการวิเคราะห์เว็บไซต์ และตรวจสอบเว็บไซต์ว่าควร
พัฒนา ปรับปรุง หรือปรับเปลี่ยนองค์ประกอบส่วนใดของเว็บไซต์บ้าง รวมทั้งวิเคราะห์คู่แข่งขันจาก Keyword
ที่คู่แข่งขันเลือกใช้ สร้างเว็บไซต์พันธมิตรเพื่อเพิ่มลิงค์ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงทำการพัฒนาเนื้อหาของเว็บไซต์
และผลการค้นหาเว็บไซต์ของ Search Engine ต่างๆ แต่การพัฒนา ปรับปรุง หรือปรับเปลี่ยนองค์ประกอบ
ส่วนใดส่วนหนึ่งของเว็บไซต์ดังที่กล่าวมาจำเป็นต้องใช้เวลา (1 เดือนขึ้นไป) บริการ SEO จึงไม่สามารถแสดง
ประสิทธิภาพของการเปลี่ยนแปลงได้ในทันที


ในปัจจุบันมีบริษัทมากมายที่ให้บริการ SEO ซึ่งคุณสามารถเลือกใช้บริการได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น
การพัฒนาหรือการรักษาอันดับผลการค้นหาเว็บไซต์ แต่สิ่งหนึ่งที่คุณควรให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ก็คือ
ผลการค้นหาเว็บไซต์ของ Search Engine มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น จึงไม่ควรเชื่อ
คำโฆษณาของบริษัทที่ให้บริการ SEO ที่รับรองว่า จะทำให้เว็บไซต์ของคุณอยู่ใน 3 อันดับแรกของการ
แสดงผลการค้นหาเว็บไซต์ของ Search Engine


เว็บไซต์ที่ได้รับการจัดสร้างขึ้นมาใหม่ควรทำอะไรบ้าง
ปัญหาที่สำคัญที่สุดของเว็บไซต์ที่ได้รับการจัดสร้างขึ้นใหม่ ก็คือ ไม่มีหรือมีผู้เข้าชมเว็บไซต์น้อยรายที่จะ
เข้าชมเว็บไซต์ เพราะฉะนั้น เว็บไซต์ที่ได้รับการจัดสร้างขึ้นใหม่จึงต้องเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ให้มากขึ้น
ซึ่งอาจจะทำด้วยการลงทะเบียนเว็บไซต์ใน Search Engine และไดเรกทอรีต่างๆ ตลอดจนเพิ่มลิงค์ทั้งใน
รูปแบบฟรีและเสียค่าใช้จ่าย และเมื่อเว็บไซต์มีจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์อยู่ในเกณฑ์ที่พึงพอใจแล้วก็สามารถลด
งบประมาณในส่วนนี้แล้วนำไปใช้พัฒนาในส่วนอื่นๆ ของเว็บไซต์ต่อไปได้

เนื้อหาทั้งหมดคัดลอกมาจาก http://www.opentracker.net/th/articles/search-engine-optimization.jsp

การสร้างสังคมออนไลน์

สาระสำคัญโดยรวม
คุณจะได้รับข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวกับ:

กลยุทธ์การสร้างความสำเร็จให้กับเว็บไซต์

การสร้างสังคมออนไลน์

การวัดประสิทธิภาพสังคมออนไลน์

'ลูกค้าภักดี' และผู้เข้าชมเว็บไซต์รายเดิม

เห็นภาพของเว็บไซต์

พฤติกรรมการเข้าชมเว็บไซต์ของผู้เข้าชมเว็บไซต์

การพัฒนา ปรับปรุง หรือปรับเปลี่ยนเนื้อหาของเว็บไซต์ด้วยการใช้ข้อมูลและสถิติต่างๆ
ที่ได้รับจากบริการ tracking

การสร้าง และการวัดประสิทธิภาพสังคมออนไลน์ของผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณ

เคล็ดลับที่ทำให้เว็บไซต์ชั้นนำของโลก เช่น Amazon, ebay, Hotmail / MSN และ Yahoo
ยังคงได้รับความนิยมต่อเนื่องมาจนถึงในปัจจุบัน ก็คือ เว็บไซต์เหล่านี้สามารถสร้าง "ลูกค้าภักดี" ได้
หรืออาจอธิบายได้ง่ายๆ ว่า สามารถสร้างสังคมออนไลน์ของผู้เข้าชมเว็บไซต์รายเดิมได้นั่นเอง


ซึ่งถ้าคุณต้องการที่จะสร้างสังคมออนไลน์ของผู้เข้าชมเว็บไซต์รายเดิมให้กับเว็บไซต์ของตัวคุณเอง
คุณก็ต้องทราบถึงพฤติกรรมการเข้าชมเว็บไซต์ของผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณเสียก่อน


บริการ tracking จะช่วยให้คุณได้ทราบถึงพฤติกรรมการเข้าชมของผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณได้อย่าง
ชัดเจนยิ่งขึ้นเสมือนว่า เว็บไซต์ของคุณเป็นร้านค้า ซึ่งบริการ tracking ก็จะทำให้คุณได้ทราบว่า
ผู้บริโภคเข้ามาทำอะไรบ้างกับร้านค้าของคุณ


เว็บไซต์บางเว็บไซต์มีผู้เข้าชมกลับมาเข้าชมเว็บไซต์อีกครั้งมากถึง 30% ถึง 40 % ผู้เข้าชมเว็บไซต์
กลุ่มนี้ก็คือ ผู้ใช้บริการรายเดิมในสังคมออนไลน์ของคุณ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเว็บไซต์ของคุณมีจำนวนสมาชิก
100,000 คนในระยะเวลาเพียงแค่ 2 เดือน แสดงว่าเว็บไซต์ของคุณสามารถสร้างสังคมออนไลน์จากผู้เข้า
ชมรายเดิมกลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่งได้แล้ว ซึ่งก็หมายความว่า เนื้อหาของเว็บไซต์ของคุณมีประสิทธิภาพในการ
โน้มน้าวความสนใจของผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้


เราทราบเป็นอย่างดีว่า จำนวนหน้าเว็บไซต์ที่ได้รับการเข้าชมจากผู้เข้าชมไม่สามารถวัดประสิทธิภาพการ
ทำงานของเว็บไซต์ได้เราจึงออกแบบและจัดสร้างบริการ tracking ให้สามารถทำการจัดเก็บจำนวนหน้า
เว็บไซต์ที่ได้รับการเข้าชมจากผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่ไม่ซ้ำกัน (unique visitor) เพื่อที่จะค้นหาข้อมูลและ
สถิติต่างๆที่ดีที่สุดในการวัดประสิทธิภาพการทำงานให้กับเว็บไซต์ของคุณ


บริการ tracking จะทำให้คุณได้ทราบถึงพฤติกรรมการเข้าชมเว็บไซต์ทั้งหมดของสังคมออนไลน์ของ
เว็บไซต์คุณ ยกตัวอย่างเช่น ในการบริการ tracking เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมการเข้าชมเว็บไซต์ของ
สังคมออนไลน์ของเว็บไซต์ Opentracker เอง ทำให้เราทราบถึงจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์รายเดิมที่
กลับมาเข้าชมเว็บไซต์อีกครั้ง และระยะเวลาในการเข้าชมเว็บไซต์ที่ลดลง ข้อมูลและสถิติต่างๆ เหล่านี้
ทำให้เราสามารถค้นหาสาเหตุที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง และหาวิธีการแก้ปัญหาดังกล่าวได้อย่าง
ทันท่วงที


เห็นภาพของเว็บไซต์ของคุณเองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
บริการ tracking จะทำให้คุณได้เห็นภาพของเว็บไซต์ของตัวคุณเองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เสมือนเป็นร้านค้า
ที่คุณจะได้เห็นพฤติกรรมของผู้บริโภคว่า ผู้บริโภคเข้ามาซื้ออะไรบ้างจากเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งข้อมูลและ
สถิติต่างๆเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างมากที่จะช่วยในการวัดประสิทธิภาพการทำงานของเว็บไซต์
ของตัวคุณเอง


บริการ tracking จะทำการจัดเก็บข้อมูลและสถิติดังกล่าว เพื่อทำให้คุณได้ทราบว่าผู้เข้าชมเว็บไซต์
สนใจในสิ่งที่คุณออกแบบ และจัดสร้างหรือไม่


ดังนั้น ข้อมูลและสถิติต่างๆ ดังกล่าวก็จะทำให้คุณได้ทราบอีกด้วยว่า หน้าเว็บไซต์หน้าใดที่ได้รับความนิยมสูงสุด
จากผู้เข้าชมเว็บไซต์ หรือถ้าหากเปรียบเทียบว่า เว็บไซต์เป็นเสมือนร้านค้า บริการ tracking ก็จะทำให้คุณได้
ทราบว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ซื้อสิ้นค้าชิ้นใดนั่นเอง ซึ่งคุณจะสามารถทำการตัดสินใจต่อไปได้อีกด้วยว่าควรจะมี
พนักงานเพื่อช่วยส่งเสริมการขายสินค้าชิ้นนั้นหรือไม่


เพราะฉะนั้น หน้าเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากผู้เข้าชมเว็บไซต์ จึงต้องเป็นหน้าเว็บไซต์ที่ได้รับการดูแล
และรักษาอย่างดีที่สุดด้วยเช่นเดียวกัน


แต่สิ่งสำคัญประการหนึ่งที่คุณควรทราบก็คือ หน้าเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมจากผู้เข้าชมเว็บไซต์
อาจจะเป็นการเข้าชมเว็บไซต์จากผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตกลุ่มเล็กๆ กลุ่มเดียวเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น
หน้าเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับกระดานข่าว (forum) และการสนทนาออนไลน์ (chat) ที่มักจะถูก refresh
เป็นประจำจากผู้เข้าชมเว็บไซต์ ซึ่งก็จะทำให้หน้าเว็บไซต์ดังกล่าวมีจำนวนการเข้าชมเว็บไซต์ที่มาก
ทั้งๆ ที่มีผู้เข้าชมเว็บไซต์จริงๆ เพียงไม่กี่รายเท่านั้น


ข้อมูลและสถิติต่างๆ ที่คุณได้รับจากบริการ tracking ทำให้คุณได้ทราบอะไรบ้าง
ข้อมูลและสถิติต่างๆ ที่คุณได้รับจากบริการ tracking จะทำให้คุณได้ทราบว่า มีอะไรเกิดขึ้นกับหน้า
เว็บไซต์แต่ละหน้าของคุณบ้าง เช่น ระยะเวลาที่ผู้เข้าชมเว็บไซต์เข้าชม ยกตัวอย่างเช่น หากผู้เข้าชม
ใช้เวลาเข้าชมหน้าเว็บไซต์หน้าใดหน้าหนึ่งเฉลี่ยต่ำกว่า 10 วินาที แสดงว่าผู้เข้าชมเว็บไซต์ไม่ได้ให้
ความสนใจกับหน้าเว็บไซต์ดังกล่าวเท่าที่ควร ดังนั้น คุณจึงควรทำการพัฒนาหน้าเว็บไซต์หน้านี้ แต่ถ้า
ใช เวลาเฉลี่ยมากกว่า 20 วินาที แสดงว่าหน้าเว็บไซต์หน้านี้สามารถดึงดูดความสนใจของผู้เข้าชมได้
และก่อให้เกิดประโยชน์กับเว็บไซต์ เพราะฉะนั้น คุณจะได้ทราบว่า หน้าเว็บไซต์หน้าใดที่ได้รับความ
นิยมสูงสุดจากผู้เข้าชมเว็บไซต์ ในขณะที่สื่ออื่นๆ เช่น หนังสือพิมพ์ ไม่มีทางที่จะทราบได้เลยว่าผู้อ่าน
ใช้เวลาในการอ่านหนังสิอพิมพ์แต่ละหน้านานเท่าไร และพึงพอใจกับเนื้อหาของหน้านั้นหรือไม่


เป้าหมายของบริการ tracking คือ จัดเก็บข้อมูลและสถิติต่างๆ ที่เกี่ยวกับผู้เข้าชมเว็บไซต์เพื่อให้คุณ
นำข้อมูลและสถิติดังกล่าวไปใช้พัฒนากลยุทธ์การตลาดให้กับเว็บไซต์ของตัวคุณเอง ซึ่งข้อมูลและสถิติ
ต่างๆที่คุณได้รับจากบริการ tracking ทำให้คุณได้ทราบถึง:


หน้าเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากผู้เข้าชมเว็บไซต์

ประสิทธิภาพการทำงานของหน้าเว็บไซต์แต่ละหน้า


เนื้อหาคัดลอกมาจาก

http://www.opentracker.net/th/articles/build_online_community.jsp

Wednesday, March 26, 2008

วิธีการพัฒนาอันดับผลการค้นหาเว็บไซต์ของคุณใน google

ขั้นตอนแรก
คุณต้องทำการตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณอยู่ในฐานข้อมูลของ Google หรือไม่

ในกรณีที่คุณสร้างเว็บไซต์เสร็จสิ้น คุณควรลงทะเบียนเว็บไซต์ใน Google ให้รวดเร็วที่สุด เนื่องจากต้องใช้เวลาในการลงทะเบียนประมาณ 1 เดือน กว่าที่เว็บไซต์ของคุณจะสามารถปรากฏใน ผลการค้นหาเว็บไซต์ของ Google ได้

ระยะเวลา 1 เดือนเป็นเพียงการประเมินเท่านั้น ในความเป็นจริงอาจจะใช้เวลามากหรือน้อยกว่า 1 เดือนก็เป็นได้ และถ้าหากคุณต้องการให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏอยู่ในผลการค้นหาเว็บไซต์ของ Google เร็วขึ้น คุณสามารถทำได้โดยเพิ่มลิงค์ของเว็บไซต์คุณในเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียง เพราะเว็บไซต์เหล่านี้จะมี Googlebot เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ Googlebot เป็น robot-script ขนาดเล็ก โดยมีหน้าที่ค้นหาข้อมูลในหน้าเว็บไซต์ และ robot-script ของแต่ละ Search Engine ก็จะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น spider, bot หรือ crawler เป็นต้น

spider ของ Google มีชื่อเรียกว่า Googlebot ซึ่ง bot ก็จะมีหลายประเภทอีกเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น freshbot ของ Google เป็นต้น freshbot จะเข้ามาในเว็บไซต์ของคุณทุกครั้งเมื่อคุณทำการปรับปรุงเว็บไซต์ ประโยชน์ของการเข้ามาค้นหาเว็บไซต์ของ freshbot ก็คือ สิ่งที่คุณทำการปรับปรุงจะปรากฏในการแสดงผลการค้นหาเว็บไซต์ของ Search Engine อย่างรวดเร็วแบบวันต่อวัน

ถ้าคุณสามารถเพิ่มจำนวนลิงค์ของเว็บไซต์คุณได้มากขึ้น Googlebot ก็จะเข้ามาตรวจสอบเว็บไซต์คุณมากขึ้น โอกาสที่เว็บไซต์ของคุณจะเข้าไปอยู่ในฐานข้อมูลของ Google ภายใน 24 ชั่วโมงก็ย่อมมีมากขึ้นเช่นเดียวกัน

หากคุณต้องการที่จะทราบว่า freshbot เข้ามาค้นหาเว็บไซต์คุณครั้งสุดท้ายเมื่อใด คุณก็สามารถทำได้โดยทำการค้นหาที่อยู่ของเว็บไซต์คุณ (www.yourname.com) ใน Google เมื่อผลการค้นหาเว็บไซต์ปรากฏขึ้น ให้คลิกที่ "ที่ google เก็บไว้" ด้านบนของหน้าเว็บไซต์ต่อมาที่ปรากฏขึ้นจะจัดแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับวัน เดือน ปี และเวลาของการค้นหาเว็บไซต์ของคุณครั้งล่าสุด

การแลกเปลี่ยนลิงค์กับเว็บไซต์พันธมิตร คุณต้องทำการตรวจสอบ PageRank ของเว็บไซต์พันธมิตรด้วย เพราะถ้าหากคุณแลกเปลี่ยนลิงค์กับเว็บไซต์พันธมิตรที่มี PageRank สูง PageRank ของเว็บไซต์คุณก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย ในทางตรงกันข้าม หากคุณแลกเปลี่ยนลิงค์กับเว็บไซต์พันธมิตรที่มีอันดับ PageRank ต่ำมาก PageRank ของเว็บไซต์คุณก็อาจจะลดลงได้ ลักษณะการแลกเปลี่ยนลิงค์ในลักษณะที่ 2 เรียกว่า "bad neighborhood"

หน้าเว็บไซต์ที่เหมาะสมกับหลักการทำงานของ Google
ถ้าคุณสามารถเพิ่มจำนวนลิงค์ของเว็บไซต์คุณได้มากขึ้น Googlebot ก็จะเข้าค้นหาเว็บไซต์คุณเพิ่มขึ้นด้วย

Googlebot จะทำการค้นหาเว็บไซต์โดยเข้ามาตรวจสอบองค์ประกอบของเว็บไซต์ดังต่อไปนี้:

Page title
คำอธิบาย meta tag
เนื้อหาทั้งหมดของเว็บไซต์
ลิงค์

องค์ประกอบของเว็บไซต์ดังที่กล่าวมาถือว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างมากของเว็บไซต์คุณ เพราะองค์ประกอบดังกล่าวได้บรรจุ keywords คุณไว้นั่นเอง

อุปสรรคสำคัญประการหนึ่ง ก็คือ คีย์เวิร์ดหรือคำค้นหาเว็บไซต์นั้นมีอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้น คุณจึงต้องมีความละเอียด และรอบคอบอย่างมากสำหรับการคัดเลือก และคัดสรร keywords ให้กับเว็บไซต์ของคุณเอง

คุณจะต้องทำการคัดเลือกและคัดสรรแต่ละ keyword ที่จะนำมาใช้ให้กับเว็บไซต์ของคุณให้ดีที่สุด วิธีการง่ายๆ ก็คือ ลองสมมุติว่าตนเองเป็นผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ต แล้วลองคิดดูว่า คุณจะใช้ keyword ใดในการค้นหาเว็บไซต์

title
คุณต้องทำการตรวจสอบให้มั่นใจว่า คุณได้เลือกใช้ keywords ที่ดีที่สุดเพื่อใช้เป็น title ของเว็บไซต์แล้ว และไม่ควรให้ title มีความยาวเกิน 80 ตัวอักษร เนื่องจาก Search Engine บางที่อาจทำการยกเลิกการลงทะเบียนเว็บไซต์ของคุณได้

คำอธิบาย meta tag
Googlebot จะไม่เข้ามาตรวจสอบคีย์เวิร์ดของ meta tag แต่จะตรวจสอบคำอธิบายของ meta tag ดังนั้น คุณต้องทำการตรวจสอบให้มั่นใจว่า คุณได้เลือกใช้ keywords ที่ดีที่สุดเพื่อใช้เป็นคำอธิบายของ meta tag ให้กับเว็บไซต์ของคุณ

เนื้อหาทั้งหมดของเว็บไซต์
คุณต้องทำการตรวจสอบให้มั่นใจว่า คุณได้เลือกใช้ keywords ที่ดีที่สุดเพื่อใช้เป็นเนื้อหาของเว็บไซต์คุณ เพราะการใช้ keyword ที่คัดเลือกมาเป็นชื่อเรื่อง และเนื้อหา การใช้ตัวอักษรหนา หรือเอียงเพื่อเน้น keywords คำบรรยายภาพ ชื่อรูปภาพ ชื่อที่อยู่ของเว็บไซต์ สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนมีผลต่อการทำงานของ Googlebot ทั้งสิ้น

ลิงค์ภายในเว็บไซต์
คุณต้องทำการตรวจสอบให้มั่นใจว่า Googlebot จะสามารถเข้ามาตรวจสอบเว็บไซต์ของคุณได้อย่างแน่นอน เนื่องจาก Googlebot อาจจะไม่สามารถเข้ามาค้นหาเว็บไซต์ของคุณได้ เนื่องจากสาเหตุบางประการ เช่น การใช้เฟรม คุณสามารถแก้ปัญหานี้ด้วยการใช้คำสั่ง หรือใช้แผนที่เว็บไซต์ (sitemap) เพื่อให้ Googlebot สามารถเข้ามาตรวจสอบในทุกๆหน้าของเว็บไซต์คุณได้

ทีมาของเนื้อหาทั้งหมด คัดลอกมาจาก
http://www.opentracker.net/th/articles/improve-google-ranking.jsp

Monday, March 24, 2008

ทำอย่างไรให้ค้นเจอเว็บเราจาก google

บันทึก "เป็นเนื้อหาที่คลาสสิค ถามมามาก และเป็นส่วนหนึ่งของหัวใจของการทำเว็บ
หลายๆคนสอบถามมามาก ทั้งส่วนตัว และในเวลาที่เราอบรม ผมก็บอกไปหลายครั้งว่า เนื้อหาส่วนนี้มีมาก และต้องการเวลาในการอธิบาย วันนี้มีเวลามาอารัมภบทกัน เริ่มเลยนะครับ

หลายๆ คนถามผมว่า "หมอ ทำไมทำเว็บเยอะจัง หรือ หมอ ทำไมหมอจะทำ subdirectory กี่ร้อยอันเนี่ย แซวๆ" ผมเลยตอบไปว่า ทำจนกว่าจะเจอเว็บไทยเฮลท์เป็นอันดับหนึ่งในทุก subdirectory แหละคาดว่าน่าจะเป็นพันหรือหมื่น เอิ๊กซ์

นั่นแหละคือเคล็ดลับ จบ ........




อ้าว ๆ ยังไม่จบง่าย ๆ จริงๆแล้วนี่คือหลักการง่ายๆ ในการให้คะแนนให้เว็บเราเจอจาก googleครับ
ผมขออรรถาธิบายง่ายสุด(ใครอยากเอายากสุดตามมาเรียนที่พัทยา เอิ๊กซ์)
1. google ให้คะแนนจากการลิงค์กลับมายังเว็บเรา ดังนั้น ถ้าเรามีเว็บในมือเยอะ ไม่ต้องพูดว่าทำไง ส่วนแรกสุดของเว็บคือ ลิงค์ด้านบน มีเว็บในเครือครับ เรียงราย
2.ถ้าไม่มีเว็บในมือ ไม่ต้องกลัว พยายาม subscribe (แจ้งว่าเรามีเว็บนี้ ๆ นั้นๆ )ในเว็บใหญ่ ๆ ที่จะให้คะแนนเราเยอะ ๆ เว็บแรกสุดคือ dmoz.org รองลงมาคือ
yahoo.com
google.com
sanook.com
mthai.com
siamguru.com
truehits.net
เว็บ top100ต่างๆ เช่น top100.thaihealth.net อิอิ

3.มีศัพท์อย่างสองอันคือ relevancy และ robot ที่ต้องมาคุยกัน
google,lycos,msn etc. จะใช้ robots ท่องไปในเว็บไซด์ต่างๆ ที่อนุญาตให้ robots เข้าชม (เราดูได้ที่ root directoryจะมีไฟล์ชื่อ robots.txt) robots นี้จะมองเว็บไซด์เราแบบ โปรแกรมหนึ่งที่ชื่อ lynx คือมองข้ามลูกเล่นทั้งหลาย ไม่ว่า แฟลช จาวา ภาพ อะไรทั้งหมด เหลือแต่ลิงค์ คำ alt และคีย์เวอร์ด และมีความจำกัดคือ ไม่สามารถเข้าเว็บที่มีไฟล์ในหน้าเว็บใหญ่ๆ หมายถึงลิงค์มาก ๆ หรือภาพเยอะๆ หรือมีแฟลชจาวามากมาย จะไม่ชอบเลย แถมไม่ชอบเว็บที่ต้องมีคุ๊กกี้
ไม่ต้องตกใจ เมื่อเราsubscribe ให้มีลิงค์มาเข้าหาเราสักสามสี่วัน robots เข้ามาหาเราแน่ๆ แต่มาแล้วจะรีบหนีไป หรือ explore เว็บเราเพื่อเก็บข้อมูลไว้หรือเปล่า สิ่งที่สำคัญมากที่สุดคือ relevancy หรือความเข้ากันได้ระหว่างเนื้อหา-meta-keyword ของเว็บ
ที่จะทำให้ robots เก็บข้อมูลเราไว้อย่างมีประสิทธิภาพ
meta ทุกอันมีความหมาย ไม่ว่าจะเป็น title description และ keyword จะต้องเป็นในทางเดี่ยวกัน เช่น ถ้าทำเว็บเกี่ยวกับสุขภาพ ก็จะมีคำในหน้าเว็บที่เป็นเนื้อหาสุขภาพ ชื่อ title ก็เกี่ยวกับสุขภาพ meta ก็มีคำว่าสุขภาพ แถมมี keyword description เป็นในแนวทางเดียวกัน ก็เชื่อแน่ว่า เว็บท่านจะถูก robots เก็บไว้อย่างเหมาะสม

meta สามารถดูได้จากไฟล์ includes/meta.php
title คือชื่อเว็บ
title,description ,และคำขวัญ แก้ได้จากหน้า admin.php-->settings พยายามให้สอดคล้องกันลองดูตัวอย่าง เข้าหน้าเว็บ http://www.thaihealth.net แล้วคลิกขวาที่โล่งๆในเว็บ ->view source
keyword แก้ในไฟล์ meta.php พยายามให้ได้ประมาณ 250-300 ตัวอักษร

หลักการของเว็บ search engine friendly
1.relevancy ต้องดี บางเว็บแม้แต่ theme ก็ต้องทำมาใหม่พิเศษ เช่นของไทยเฮลท์ ก็จะใช้ theme ประจำว่า health2005(เพราะชื่อ theme ปรากฎอยู่ใน code มากมาย ลองศึกษาดู)
2.ขนาดเล็ก ไม่ควรเกิน 70-100 kbyte
3.ไม่มีแฟลชจาวามากมาย ยิ่งแฟลชทั้งเว็บเลย ก็เก็บไว้ประกวดเถอะครับ ไม่ต้องมาถามว่าจะเจอจาก googleไหม
4.โฮสต์ต้องดี บางทีrobots บุกมาทีเว็บล่มเลยครับ เคยเจอมาแล้วเข้ามาเป็น 100ต่อชม.
5.มีหน้าเว็บที่แสดงถึงลิงค์ที่ต้องการให้เข้าไปดูเนื้อหาภายในมาก แต่ไม่มากเกินไปและยิ่งถ้าเขียนเป็น html จะยิ่งเยี่ยม
6.ถ้าต้องการให้เจอแบบสุด ๆ เช่นต้องการสร้างเว็บให้เข้ามาเจอว่า "การฝังเข็ม เช่น acupuncture" ขึ้นอันดับ1 ใน google แน่ๆก็ควรสร้างเว็บชื่อว่า ชื่อเว็บ.com/acupuncture/index.html จะดีกว่า ชื่อเว็บ.com/acupuncture.php และดีกว่า ชื่อเว็บ.com/modules.php?name=content&cid=56 แหงๆ (ผมถึงบอกว่า phpNUKE หรือ CMS ทั้งหมดที่สร้างโดย php+mysql นี่งี่เง่าสำหรับ search engine พอควร ถ้าอยากให้search หาเจอ ไม่ควรใช้ phpNUKE ทำทั้งหมด )
7.สุดท้าย ถ้าอยากจะให้ phpnuke ของท่านหายังไงก็เจอ คงต้องมาเรียนกับผมเป็นการส่วนตัวเพราะมีหลายทาง ที่ทำให้ robots เห็นอย่างที่ท่านต้องการ ไม่ว่าจะการเรียงตำแหน่งของจาวา บล็อค หรือโปรแกรมและอุปกรณ์เสริม และ robots นี่ไม่โง่ที่จะหลอกเพราะจะโดนแบล็คลิสต์ไปเลยหุหุ ขอบอกว่า ความรู้ที่ท่านอ่านวันนี้ ถ้าเสียตังคือ 2000-3000 ไปเรียน และถ้าจะจ้างเขาทำ คงเสียเป็นหมื่น และไม่แน่ว่าจะดีกว่าเราทำไหม
จบ......จริงๆ"

เนื้อหาทั้งหมดคัดลอกมาจาก http://www.thainuke.org เว็บไซต์ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับ php-nuke

Friday, March 21, 2008

การสร้างลิงค์คุณภาพให้กับเว็บไซต์

คงพอจะทราบกันแล้วว่าการที่จะทำให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับการค้นหาของ Google นั้น เว็บไซต์จะต้องมี PageRank อยู่ในระดับที่สูง และองค์ประกอบหลักที่จะทำให้ PageRank สูงคือ "Link" แต่ลิ้งที่เราจะนำมาใช่นั้นต้องไม่ใช่ลิ้งธรรมดาเหมือนแต่ก่อนคือการเน้นที่ปริมาณลิ้ง เพราะปัจจุบัน Google ได้ตัดปัจจัยเกี่ยวกับปริมาณของลิ้งออกไป และได้เพิ่มปัจจัยใหม่ควบคู่เข้ามานั้นคือ "คุณภาพของลิ้ง" กล่าวคือ "ลิ้งมากก็ดี แต่ลิ้งที่มีคุณภาพสำคญที่สุด และลิ้งที่มีคุณภาพที่สุดคือลิ้งที่มาจากเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกันหรือมีเนื้อหาตรงกับเว็บไซต์ของเรา" ดังนั้น หากเรา สามารถสร้างลิ้งคุณภาพกลับมายังเว็บไซต์ของเพื่อน ๆ ได้มาก ผลที่ได้รับคือจะทำให้เว็บไซต์ของเรามี PageRank สูงขึ้น มีผลการค้นหาอยู่ในอันดับต้น ๆ ของ Google และทำให้เว็บไซต์ของเราเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น

ผมมีวิธีหนึ่งที่จะช่วยสร้างลิ้งคุณภาพให้กับเพื่อน ซึ่งวิธีนี้เป็นที่นิยมใช้กันแพร่หลายในต่างประเทศและได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ คือการเชื่อมโยงลิ้งแบบทางเดียวโดยไม่มีการแลกลิ้งกลับ "One Way Link" ตามสารบัญเว็บไซต์หรือที่เรียกกันว่า Web Directory เพราะเป็นการสร้างลิ้งแบบง่าย ๆ และได้ลิ้งคุณภาพกลับมายังเว็บไซต์ของเรา

เหตุผลที่ว่าถ้ามีการลิ้งเชื่อมโยงเว็บไซต์ของเรากับ Web Directory แล้วจะเป็นลิ้งที่มีคุณภาพเพราะ Web Directory จะทำการแบ่งแยกเว็บไซต์ ออกเป็นหมวดหมู่ตามเนื้อหาหลักของเว็บไซต์ในแต่ละหมวดหมู่นั้น ๆ และในแต่ละหมวดหมู่ของ Web Directory ก็จะมีเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาคล้ายกัน หรือเหมือนกันทั้งหน้า (Page) เว็บของเราก็จะได้ลิ้งคุณภาพจากหน้าที่มีเนื้อหาสัมพันธ์กันทังหน้านั้นตามไปด้วย

และเท่าที่ผมสำรวจดูในเบื้องต้นเห็นว่าในประเทศไทยมีเว็บไซต์ที่เป็น Web Directory อย่างเดียวโดยไม่มีเนื้อหาอื่นปะปนนั้นมีน้อย ผมจึงได้จัดทำ Web Directory ขึ้นมาเพื่อรวมรวมเว็บไซต์ของคนไทย และเป็นเครื่องมือสำหรับ Webmaster เพื่อใช้ในการทำ SEO. และเกิดความสะดวกสำหรับผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่จะสืบค้นข้อมูลที่มีอยู่อย่างมหาศาล โดยเพื่อน ๆ สามารถเยี่ยมชมและเพิ่มเว็บไซต์ของเพื่อน ๆ เข้าสู่ Web Directory ของเราได้ตาม URL ด้านล่าง

ThaiLand Web Directory
สารบัญเว็บไซต์ไทย แหล่งรวมเว็บไซต์ของคนไทย.
http://www.thaidir.org

เนื้อหาทั้งหมดคัดลอกมาจาก http://www.thainuke.org

Thursday, March 20, 2008

ประวัติคอมพิวเตอร์

[ ประมาณ 2,600 ปีก่อนคริสตกาล ] ชาวจีนได้ประดิษฐ์เครื่องมือเพื่อใช้ในการคำนวณขึ้นมาชนิดหนึ่ง เรียกว่า ลูกคิด ( Abacus)

ลูกคิด ( Abacus)

[ พ.ศ. 2158 ] นักคณิตศาสตร์ชาวสก็อตแลนด์ชื่อ John Napier ได้ประดิษฐ์อุปกรณ์ที่ใช้ช่วยในการคำนวณขึ้นมาเรียกว่า Napier’s Bones เป็นอุปกรณ์ที่มีลักษณะคล้ายกับตารางสูตรคูณในปัจจุบัน
[ พ.ศ.2173 ] วิลเลียม ออตเทรต( William Oughtred) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษได้ประดิษฐ์ไม้บรรทัดคำนวณ ( Slide Rule) ซึ่ง ต่อมากลายเป็นพื้นฐานของการสร้างคอมพิวเตอร์แบบอนาลอก

[ พ.ศ.2185 ] เบลส์ ปาสคาล ( Blaise Pascal) นักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศสได้ประดิษฐ์เครื่องบวกลบขึ้น โดยใช้หลัการหมุนของฟันเฟือง และการทดเลขเมื่อฟันเฟืองหมุน ไปครบรอบ โดยแสดงตัวเลขจาก 0-9 ออกที่หน้าปัด


Pascal’s Calculato

[ พ.ศ.2214 ] กอตฟริต วิลเฮล์ม ไลบ์นิซ ( Gottfried Wilhelm Leibniz ) นักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมัน ได้ปรับปรุงเครื่องคิดเลขปาสคาล ให้ทำงานได้ดีกว่าเดิม และเขายังค้นพบเลขฐานสอง (Binary number)

กอตฟริต วิลเฮล์ม ไลบ์นิซ ( Gottfried Wilhelm Leibniz )

[ พ.ศ.2288 ] โจเซฟ แมรี่ แจคคาร์ด ( Joseph Marie Jacquard) เป็นชาวฝรั่งเศสได้คิด เครื่องทอผ้า โดยใช้คำสั่งจากบัตรเจาะรูควบคุมการทดผ้าให้มีสีและลวดลายต่าง ๆ

บัตรเจาะรู

[ พ.ศ.2365 ] ชาร์ล แบบเบจ ( Charles Babbage) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษได้ประดิษฐ์เครื่องมือที่เรียกว่าเครื่องหาผลต่าง ( Difference Engine) เพื่อใช้คำนวณและพิมพ์ ค่าทางตรีโกณมิติและฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ แบบเบจได้พยายามสร้าง เครื่องคำนวณอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า Analytical Engine โดยมีแนวคิดให้แบ่งการทำงานของเครื่องออกเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนเก็บข้อมูล (Store unit), ส่วนควบคุม (Control unit) และส่วนคำนวณ (Arithmetic unit) ซึ่งแนวคิดนี้ได้รับการนำมาใช้เป็นต้นแบบของเครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน จึงยกย่องแบบเบจ ว่าเป็นบิดาแห่งเครื่องคอมพิวเตอร์ เลดี้ เอดา ออคุสตา เลฟเลค ( Lady Ada Augusta Lovelace ) เป็นนักคณิตศาสตร์ที่เข้าใจผลงานของแบบเบจ ได้เขียนวิธีการใช้เครื่องคำนวณของแบบเบจเพื่อแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เล่มหนึ่ง ต่อมา เลดี้ เอดา ออคุสตา เลฟเลค จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นโปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก

Differnce Engine
[ พ.ศ.2393 ] ยอร์จ บูล ( George Boole) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้คิดระบบ พีชคณิตระบบใหม่เรียกว่า Boolean Algebra โดยใช้อธิบายหลักเหตุผลทางตรรกวิทยาโดยใช้สภาวะเพียงสองอย่างคือ True (On) และ False (Off) ร่วมกับเครื่องหมายในทางตรรกะพื้นฐาน ได้แก่ NOT AND และ OR ต่อมาระบบเลขฐานสอง และ Boolean Algebra ก็ได้ถูกนำมาดัดแปลงให้เข้ากับวงจรไฟฟ้า ซึ่งมีสภาวะ 2 แบบ คือ เปิด , ปิด จึงนับเป็นรากฐานของการออกแบบวงจรในระบบคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน (Digital Computer)

[ พ.ศ.2480-2481 ] ดร.จอห์น วินเซนต์ อตานาซอฟ ( Dr.Jobn Vincent Atansoff) และ คลิฟฟอร์ด แบรี่ ( Clifford Berry) ได้ประดิษฐ์เครื่อง ABC ( Atanasoff-Berry) ขึ้น โดยได้นำหลอดสุญญากาศมาใช้งาน ABC ถือเป็นเครื่องคำนวณเครื่องแรกที่เป็นเครื่องอิเล็กทรอนิกส์

Atansoff


ABC computer


Berry

[ พ.ศ.2487 ] ศาสตราจารย์โอเวิร์ด ไอด์เคน (Howard Aiken) แห่งมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ร่วมกับวิศวกรของบริษัทไอบีเอ็มได้สร้างเครื่อง MARK I เป็นผลสำเร็จ แ ต่อย่างไรก็ตามเครื่อง MARK I นี้ยังไม่ใช่คอมพิวเตอร์ที่แท้จริงแต่เป็นเครื่องคิดเลขไฟฟ้าขนาดใหญ่เท่านั้น
[ พ.ศ.2485-2495 ] มหาวิทยาลัยเพนซิลเลเนียได้สร้างเครื่อง ENIAC (Electronic Numerical Integrator And Calculator) นับได้ว่าเป็นเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกของโลกที่ใช้หลอดสูญญากาศ และควบคุมการทำงานโดยวิธีเจาะชุดคำสั่งลงในบัตรเจาะรู



ENIAC

[ พ.ศ.2492 ] ดร.จอห์น ฟอน นิวแมนน์ ( Dr.John Von Neumann ) ได้สร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถเก็บคำสั่งการปฏิบัติงานทั้งหมดไว้ภายในเครื่อง ชื่อว่า EDVAC นับเป็นคอมพิวเตอร์เครี่องแรกที่สามารถเก็บโปรแกรม ไว้ในเครื่องได้

EDVAC
(first stored program computer)

[ พ.ศ.2496-2497 ] บริษัทไอบีเอ็มได้สร้างคอมพิวเตอร์ชื่อ IBM 701 และ IBM 650 โดยใช้หลอดสุญญากาศเป็นวัสดุสร้าง ต่อมาเกิดมีการพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นสารกึ่งตัวนำขึ้นที่ห้องปฏิบัติการของบริษัท Bell Telephone ได้เกิดทรานซิสเตอร์ตัวแรกขึ้น ต่อมาทรานซิสเตอร์ได้ถูกนำไปแทนหลอดสูญญากาศ จึงทำให้ขนาดของคอมพิวเตอร์เล็กลงและเกิดความร้อนน้อยลง (เครื่องที่ใช้ทรานซิสเตอร์ได้แก่ IBM 1401และ IBM 1620 )

หลอดสูญญากาศ (Vacuum tube)


ทรานซีสเตอร์ (Transistor)

[ พ.ศ.2508 ] วงจรคอมพิวเตอร์มีการเปลี่ยนแปลงอีกมากเมื่อมีวงจรรวม ( Integrated Circuit: IC) เกิดขึ้น ซึ่งไอบีเอ็มนี้ได้ถูกนำไปแทนที่ทรานซิสเตอร์ ในวงจรอิเล็กทรอนิกส์ของระบบคอมพิวเตอร์อีกครั้ง ซึ่งผลก็คือทำให้คอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลง

IC
[ พ.ศ.2514 ] บริษัท Intel ได้ใช้เทคโนโลยีของการผลิตวงจรรวมแบบ ( Large Scale Integrated Circuit :LSI ) ทำการรวมเอาวงจรที่ใช้เป็นหน่วยประมวลผลกลาง ( CPU) ของคอมพิวเตอร์มาบรรจุอยู่ในแผ่นไอซีเพียงตัวเดียวซึ่ง ไอซีนี้เรียกว่าไมโครโปรเซสเซอร์ ( Microprocessor)

Microprocessor
[ พ.ศ.2506] ประเทศไทยเริ่มมีคอมพิวเตอร์ใช้เป็นครั้งแรก โดยที่คอมพิวเตอร์เครื่องแรกในประเทศไทยได้ติดตั้งที่ ภาควิชาสถิติ คณะพานิชยศาสตร์และการบัญชีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนี้คือ IBM 1620 ซึ่งได้รับมอบจากมูลนิธิเอไอดี และบริษัทไอบีเอ็ม แห่ง ประเทศไทยจำกัด ปัจจุบันหมดอายุการใช้งานไปแล้ว จึงได้มอบให้แก่ศูนย์บริภัณฑ์การศึกษาท้องฟ้าจำลองกรุงเทพฯ
[ พ.ศ.2507] เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องที่สองของประเทศไทยติดตั้งที่สำนักงานสถิติแห่งชาติ ในเดือนมีนาคม 2507



ก่อกำเนิด ไมโครโปรเซสเซอร์

เมื่อก่อนนั้น Intel เป็นบริษัทผลิตชิปไอซีแห่งหนึ่งที่ไม่ใหญ่โตมากนักเท่าในปัจจุบันนี้ เมื่อปี ค.ศ.1969 ได้สร้างความสะเทือน ให้กับวงการอิเล็คทรอนิคส์ โดยการออกชิปหน่วยความจำ(Memory)ขนาด 1 Kbyte มาเป็นรายแรก
บริษัทบิสซิคอมพ์(Busicomp) ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องคิดเลขของญี่ปุ่นได้ทำการว่าจ้างให้ Intel ทำการผลิตชิปไอซี ที่บิสซิคอมพ์เป็นคนออกแบบเองที่มีจำนวน 12 ตัว โครงการนี้ถูกมอบหมายให้นาย M.E. Hoff, Jr. ซึ่งเข้าตัดสินใจที่จะใช้วิธีการออกแบบชิปแบบใหม่ โดยสร้างชิปที่ให้ถูกโปรแกรมได้ หมายถึงว่าสามารถนำเอาชุดคำสั่งของการคำนวณไปเก็บไว้ใน หน่วยความจำก่อนแล้วให้ไอซีตัวนี้อ่านเข้ามาแปล ความหมาย และทำงานภายหลัง
ในปี 1971 Intel ได้นำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด โดยใช้ชื่อทางการค้าว่า Intel 4004 ในราคา 200 เหรียญสหรัฐ และเรียกชิปนี้ว่าเป็น ไมโครโปรเซสเซอร์(Micro Processor) ก็เพราะว่า 4004 นี้เป็น CPU (Central Processing Unit) ตัวหนึ่ง ซึ่งมีขนาด 4.2 X 3.2 มิลลิเมตร ภายในประกอบด้วย ทรานซิสเตอร์ จำนวน 2250 ตัว และเป็น ไมโครโปรเซสเซอร์ขนาด 4 บิต
หลังจาก 1 ปีต่อมา Intel ได้ออก ไมโครโปรเซสเซอร์ ขนาด 8 บิตออกมาโดยใช้ชื่อว่า 8008 มีชุดคำสั่ง 48 คำสั่ง และอ้างหน่วยความจำได้ 16 Kbyte ซึ่งทาง Intel หวังว่าจะเป็นตัวกระตุ้นตลาดทางด้านชิปหน่วยความจำได้อีกทางหนึ่ง
เมื่อปี 1973 ทาง Intel ได้ออก ไมโครโปรเซสเซอร์ 8080 ที่มีชุดคำสั่งพื้นฐาน 74 คำสั่งและสามารถอ้างหน่วยความจำได้ 64 Kbyte

ไมโครคอมพิวเตอร์ เครื่องแรกของโลก

เมื่อปี 1975 มีนิตยสารต่างประเทศฉบับหนึ่ง ชื่อว่า Popular Electronics ฉบับเดือน มกราคม ได้ลงบทความ เกี่ยวกับเครื่อง ไมโครโปรเซสเซอร์ เครื่องแรกของโลกที่มีชื่อว่า อัลแตร์ 8800 (Altair) ซึ่งทำออกมาเป็นชุดคิท โดยบริษัท MITS (Micro Insumentation And Telemetry Systems) ลักษณะของชุดคิท ก็คือ จะอยู่ในรูปของอุปกรณ์แต่ละชิ้นโดยให้ คุณนำไปประกอบขึ้นใช้เอง
บริษัท MITS ถูกก่อตั้งเมื่อปี 1969 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำตลาดในด้านเครื่องคิดเลข แต่การค้าชลอตัวลง ประธานบริษัท ชื่อ H. Edword Roberts เห็นการไกล คิดเปิดตลาดใหม่ซึ่งจะขายชุดคิด คอมพิวเตอร์ ประมาณเอาไว้ว่าอาจขาย ได้ในจำนวนปีล่ะประมาณ 200-300 ชุด จึงให้ทิมงานออกแบบบและพัฒนาแล้วเสร็จก่อนถึงคริสต์มาส ในปี 1974 แต่เพิ่งมา ประกาศตัวในปีถัดไป สำหรับ CPU ที่ใช้คือ 8080 และคำว่า ไมโครคอมพิวเตอร์ จึงถูกเรียกใช้เป็นครั้งแรกเพื่อชุดคิทคอมพิวเตอร์ชุดนี้
ชุดคิทของ อัลแตร์ นี้ประกอบด้วย ไมโครโปรเซสเซอร์ 8080 ของบริษัท Intel มี เพาเวอร์ซัพพลาย มีแผงหน้าปัดที่ติดหลอดไฟ เป็นแถวมาให้เพื่อแสดงผล รวมถึงหน่วยความจำ 256 Byte ( แหม.. เหมือนของเล่นเราในสมัยนี้ จังงง ) นอกนั้น ยังมี สล๊อต (Slot) ให้เสียบอุปกร์อื่น ๆ เพิ่มได้ แต่ก็ทำให้ MITS ต้องผิดคาด คือ ภายใน เดือนเดียว มีจดหมายส่งเข้ามาขอสั่งซื้อเป็นจำนวนถึง 4,000 ชุดเลยทีเดียว
ด้วยชิป 8080 นี่เองได้เป็นแรงดลใจให้บริษัท ดิจิตอลรีเสิร์ช (Digital Research) กำเนิดระบบปฏิบัติการ(Operating System) ที่ชื่อว่า ซีพีเอ็ม(CP/M หรือ Control Program For Microcomputer) ขึ้นมา ในขณะที่ Microsoft ยังเพิ่งออก Microsoft Basic รุ่นแรกเท่านั้นเอง

ถึงยุค Z80
เมื่อเดือน พฤศจิกายนปี 1974 ได้มี วิศวกรของ Intel บางคนได้ออกมาตั้งบริษัทผลิตชิปเอง โดยมีชื่อว่า ไซล๊อก (Zilog) เนื่องจาก วิศวกรเหล่านี้ ได้มีส่วนร่ามในการผลิตชิป 8080 ด้วยจึงได้นำเอาเทคโนโลยีการผลิดนี้มาสร้างตัวใหม่ที่ดีกว่า มีชื่อว่า Z80 ยังคงเป็น ชิปขนาด 8 บิต เมื่อได้ออกสู่ตลาดได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากได้ปรับปรุงข้อบกพร่องต่าง ๆ ที่มีอยู่ใน 8080 จึงทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ หลายต่อหลายยี่ห้อ หันมาใช้ชิป Z80 กัน แม้แต่ซีพีเอ็ม ก็ยังถูกปรับปรุงให้มาใช้กับ Z80 นี้ด้วย *** แม้ในปัจุบันนี้ Z80 ยังคงถูกใช้งาน และนำไปใช้ ในการเรียนการสอน ไมโครโปรเซสเซอร์ ด้วย เช่น ชุดคิดหรือ Single Board Microcomputer ของ ETT, Sila เป็นต้น และ IC ตัวนี้ยังผลิตขาย อยู่ในปัจจุบัน ในราคา ไม่เกิน 100 บาท น่ะจะบอกให้)
Computer เครื่องแรกของ IBM
ในปี 1975 ไอบีเอ็ม ได้ออกเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ เครื่องแรกออกมา แต่ทางไอบีเอ็มได้เรียกเครื่องนี้ว่าเป็น เทอร์มินัลแบบชาญฉลาด ที่สามารถโปรแกรมได้ (Intelligent Programmable Terminal) และตั้งชื่อรุ่นว่า Model 5100 มีหน่วยความจำ 16 Kbyte แล้วยังมีตัวแปลภาษาเบสิก แบบอินเตอร์พรีทเตอร์ (Interpreter) ด้วย และมี ไดรฟ์สำหรับใส่คาร์ทิดจ์เทปในตัว แต่ก็ยังขายไม่ดีเอามาก ๆ เลย เพราะว่าตั้งราคาไว้สูงมากถึง 9,000 เหรียญสหัฐ
ในปลายปี 1980 บริษัทไอบีเอ็มได้เกิดแผนกเล็ก ๆ ขึ้นมาแผนกหนึ่งเรียกว่า Entry Systems Division ภายใต้ทีมของคนชื่อว่า ดอน เอสทริดจ์ (Don Estridge) และนักออกแบบอีก 12 คน โดยได้รับมอบหมายให้พัฒนาเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของไอบีเอ็มโมเด็ล 5100 นั้นเอง โดยนำเอาจุดเด่นของเครื่อง ที่ขายดีมารวมไว้ในการออกแบบเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ของไอบีเอ็ม และผลิตจำหน่ายได้ภายในปีเดียวภายใต้ชื่อว่า ไอบีเอ็มพีซี (IBM PC) ซึ่งถูกเปิดตัวในเดือน สิหาคม ปี 1981 และยอดขายของเครื่องพีซีก็ได้พุ่งอย่างรวดเร็ว ทำให้บริษัทอื่น ๆ จับตามอง

กำเนิด แอปเปิ้ล

ในปี 1976 หลังจาก Stephen Wozniak และ Steve Jobs ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์ (Apple Computer) และได้นำเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ เครื่องแรกที่ประดิษฐ์จากโรงรถออกมาขายโดยใช้ชื่อว่า Apple I ในราคา 695 เหรียญ บริษัทแอปเปิลได้ผลิตเครื่อง Apple I ออกมาไม่มากนัก ภายในปีเดียวได้ผลิต Apple II ออกมา
และรุ่นนี้เป็นรุ่นเปิดศักราชแห่งวงการไมโครคอมพิวเตอร์ และเป็นการสร้างมาตรฐาน ที่ไมโครคอมพิวเตอร์ ที่เกิดมาตามหลังทั้งหมด


--------------------------------------------------------------------------------

อ้างอิงจาก
http://www.sanambin.com
http://www.wikipedia.com

ยินดีต้อนรับ

ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล็อกที่ให้ความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นทิปคอม ความรู้ด้านอินเทอร์เน็ตต่างๆ ที่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ชมทุกท่านครับ ขอบคุณที่ติดตาม