ทำไมต้อง SEO ?
คงจะปฏิเสธกันไม่ได้ นะครับ ว่านักท่องเน็ต ส่วนใหญ่ จะใช้ Search Engine เป็นเครื่องมือ ในการค้นหาข้อมูลต่างๆ ให้สังเกตุ จากตัวเราเอง ได้เลย เวลาที่ต้องการข้อมูล อะไรสักอย่าง หากเราไม่รู้ว่าจะหาข้อมูลได้จากเว็บไซต์ไหน เว็บแรกที่เราคิดถึง ก็คงจะเป็น Search Engine ไม่ Google ก็ Yahoo หรือไม่ก็ MSN หรือ อื่นๆ
แล้วก็ พิมพ์ คำค้นหา หรือ Keyword ที่เราต้องการ เช่น ต้องการหาข้อมูล รถมือสอง ราคาถูก ยี่ห้อ อะไร ก็ตาม เราก็อาจจะพิมพ์ ชื่อยี่ห้อรถ + รถมือสอง + ราคาถูก หรือ อื่นๆ เป็นต้น ในช่องค้นหาข้อมูล
เมื่อผลลัพท์ ปรากฏออกมา เราอาจจะมองผ่านๆ สักหน่อย ว่าเว็บไซต์ไหน น่าจะมีข้อมูล ที่เราต้องการ แล้วก็คลิก เข้าไปดูรายละเอียด หากว่าเข้าไปดูแล้ว ยังไม่ได้ผลลัพท์ ที่ต้องการ ก็อาจจะกลับมาที่ Search Engine อีกครั้ง เพื่อดูข้อมูล จากเว็บไซต์อื่นๆ
เราลองสังเกตุดูจะพบว่า บางครั้ง เราอาจจะคลิกเข้าไปไม่กี่เว็บ เราก็จะได้คำตอบ ที่ต้องการ หรือ อาจจะเข้าเพียงแค่หน้าแรก ของ Search Engine เท่านั้น แทบจะไม่ได้คลิกไปที่หน้า 2 , 3 , 4 เลย (อาจจะคลิก แต่ ก็คงต้องคลิกที่หน้าแรกก่อนอยู่แล้ว)
ยิ่งเราพิมพ์ Keyword ที่เราต้องการ ตรงกับ เนื้อหาที่มี ใน Search Engine มากเท่าไหร่ โอกาสที่จะได้คำตอบ ก็เร็วขึ้น
มองในมุมของคนทำเว็บไซต์
ก็อยากจะให้เว็บไซต์ของเรา ตรงกับ Keyword ที่มีคนค้นหากันเยอะๆ จะได้มีโอกาสให้คนคลิกเข้ามามากๆ ถ้ามีคนคลิกมายังเว็บไซต์ของเรา โดยผ่าน Search Engine ก็จะมีโอกาสสูง ที่จะคลิกโฆษณา เพราะ Keyword ที่ใช้ค้นหา ตรงกับเนื้อหาของเว็บ และตรงกับ Keyword ของ Adword ที่เป็นโฆษณา ในเว็บไซต์ของเรา
ถามว่า .... ทำไม เขาไม่คลิก โฆษณา จากหน้า Google โดยตรงล่ะ ?....
ขอตอบว่า ... อาจจะคลิก ถ้าโฆษณานั้นตรงกับที่เขาต้องการ หรือ อาจจะไม่คลิก เพราะเห็นว่าเป็นโฆษณา
หน้าผลลัพท์ของ Google จะแสดง Adword ได้ ไม่เกิน 10 - 15 Ads แต่ความจริง Adword ที่ลงโฆษณา อาจจะมีมากกว่า 10 Ads ที่ไม่สามารถแสดงในหน้า Search Engine ได้ (โดยทั่วไป คนไม่นิยมคลิก ถ้ารู้ว่าเป็นโฆษณา)
สิ่งที่ควรรู้
- ยิ่งถ้าเราทำโฆษณา AdSense ให้กลมกลืน กับเนื้อหาของเว็บไซต์มากเท่าไหร่ โอกาสได้คลิก ก็ยิ่งมีมากขึ้น
เกริ่น มาซะ ยืดยาว มาเข้าเรื่องกันเลย ....
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ถ้าเราทำเว็บไซต์ ขึ้นมาเว็บไซต์หนึ่ง หากต้องการให้ มีคนเข้ามาชมมากๆ ก็คงต้องมาทำให้เว็บไซต์ ของเรา ติดอันดับต้นๆ ใน Search Engine ให้ได้ ถ้าไม่ติดอันดับ 1 ก็ติด หน้าแรก ก็ยังดี
และวิธีที่จะทำให้เว็บของเราอยู่ใน Search Engine ก็คือ การทำ SEO นั่นเอง
โดยวิธีการทำ SEO จะแบ่ง ออกเป็น 2 ส่วน คือ
1. การทำ SEO ON Page
2. การทำ SEO OFF Page
สำหรับ การทำ SEO ON Page และ OFF Page จะขอพูดถึงในหัวข้อต่อไปนะครับ
สิ่งที่ควรรู้
- การทำ SEO มีผลโดยตรงต่อ Google Page Rank ซึ่งก็คือ ตัวเลขวัดความนิยม ของเว็บไซต์ โดยมีค่าระหว่าง 0 - 10 สามารถตรวจสอบได้โดยไปที่ Multiple Pagerank Checker สามารถตรวจสอบได้พร้อมกัน สูงสุด 100 เว็บ
- เว็บที่จะอยู่อันดับต้นๆ นั้น ส่วนใหญ่ จะมีค่า Page Rank มากกว่าเว็บที่อยู่ถัดมา หากเว็บไซต์ที่แสดงมี Page Rank เท่ากัน มี Keyword เหมือนกัน จะเลือกเว็บไซต์ที่มีการทำ SEO ที่ดีกว่า อยู่อันดับต้นๆ
- Google Index คือ การมีรายชื่อเว็บไซต์ของเราอยู่ใน Google สามารถตรวจสอบได้ โดยพิมพ์ http://www.google.com/search?q=site:madeadsense.com&hl=en&filter=0 (ให้แก้ไขชื่อเว็บไซต์เป็นชื่อเว็บของเรานะครับ) ถ้าผลลัพท์ มีข้อมูลของเว็บไซต์ของเรา อยู่ ก็แสดงว่า Google เข้ามาเก็บข้อมูลของเว็บไซต์ของเราแล้ว
- ถ้าเว็บไซต์เรามี จำนวนหน้า อยู่ 10 หน้า Google Index ก็คงไม่เกิน 10 หน้า ถ้าเว็บไซต์เรามีจำนวนหน้ามาก โอกาสที่จะถูก Google Index ก็มีมาก เช่นกัน
- วิธีทำ Google Index อย่างรวดเร็ว อธิบายในหัวข้อ วิธี Add site ใน Google
- วิธีทำ Yahoo Index อย่างรวดเร็ว อธิบายในหัวข้อ วิธี Add site ใน Yahoo
- สามารถตรวจสอบ Index ของ Google , Yahoo , MSN , Altavista , Allthewebได้ที่ Search Engine Saturation Checker สามารถตรวจสอบได้พร้อมกัน สูงสุด 10 เว็บ
- สามารถตรวจสอบดูได้ว่า Keyword ที่เราสนใจอยู่ มีคนใช้ ค้นหา มากน้อยแค่ไหน ได้ที่ Keyword Selector Tool ถ้า Keyword ไหน มีคนค้นหามาก ก็จะมี ผลลัพท์ของการแสดงผล ใน Search Engine มาก นั่นก็คือ จะทำให้เรามีคู่แข่ง มาก ใน Keyword นั้นๆ
- หากเรานำ Keyword ที่มีการค้นหาน้อย มาทำเว็บ โอกาสที่คนจะค้นหา ก็น้อย แต่ว่า ถ้ามีการค้นหา Keyword นั้นจริงๆ เราอาจจะติดอันดับ หน้าแรก เลยก็ได้ แม้ว่า Page Rank ของเรา อาจจะเป็น 0 ก็ตาม (แต่เว็บเราต้องถูก Index ใน Search Engine ก่อนนะ)
ที่มาของบทความ
เมดแอดเซ็นส์
แล้วก็ พิมพ์ คำค้นหา หรือ Keyword ที่เราต้องการ เช่น ต้องการหาข้อมูล รถมือสอง ราคาถูก ยี่ห้อ อะไร ก็ตาม เราก็อาจจะพิมพ์ ชื่อยี่ห้อรถ + รถมือสอง + ราคาถูก หรือ อื่นๆ เป็นต้น ในช่องค้นหาข้อมูล
เมื่อผลลัพท์ ปรากฏออกมา เราอาจจะมองผ่านๆ สักหน่อย ว่าเว็บไซต์ไหน น่าจะมีข้อมูล ที่เราต้องการ แล้วก็คลิก เข้าไปดูรายละเอียด หากว่าเข้าไปดูแล้ว ยังไม่ได้ผลลัพท์ ที่ต้องการ ก็อาจจะกลับมาที่ Search Engine อีกครั้ง เพื่อดูข้อมูล จากเว็บไซต์อื่นๆ
เราลองสังเกตุดูจะพบว่า บางครั้ง เราอาจจะคลิกเข้าไปไม่กี่เว็บ เราก็จะได้คำตอบ ที่ต้องการ หรือ อาจจะเข้าเพียงแค่หน้าแรก ของ Search Engine เท่านั้น แทบจะไม่ได้คลิกไปที่หน้า 2 , 3 , 4 เลย (อาจจะคลิก แต่ ก็คงต้องคลิกที่หน้าแรกก่อนอยู่แล้ว)
ยิ่งเราพิมพ์ Keyword ที่เราต้องการ ตรงกับ เนื้อหาที่มี ใน Search Engine มากเท่าไหร่ โอกาสที่จะได้คำตอบ ก็เร็วขึ้น
มองในมุมของคนทำเว็บไซต์
ก็อยากจะให้เว็บไซต์ของเรา ตรงกับ Keyword ที่มีคนค้นหากันเยอะๆ จะได้มีโอกาสให้คนคลิกเข้ามามากๆ ถ้ามีคนคลิกมายังเว็บไซต์ของเรา โดยผ่าน Search Engine ก็จะมีโอกาสสูง ที่จะคลิกโฆษณา เพราะ Keyword ที่ใช้ค้นหา ตรงกับเนื้อหาของเว็บ และตรงกับ Keyword ของ Adword ที่เป็นโฆษณา ในเว็บไซต์ของเรา
ถามว่า .... ทำไม เขาไม่คลิก โฆษณา จากหน้า Google โดยตรงล่ะ ?....
ขอตอบว่า ... อาจจะคลิก ถ้าโฆษณานั้นตรงกับที่เขาต้องการ หรือ อาจจะไม่คลิก เพราะเห็นว่าเป็นโฆษณา
หน้าผลลัพท์ของ Google จะแสดง Adword ได้ ไม่เกิน 10 - 15 Ads แต่ความจริง Adword ที่ลงโฆษณา อาจจะมีมากกว่า 10 Ads ที่ไม่สามารถแสดงในหน้า Search Engine ได้ (โดยทั่วไป คนไม่นิยมคลิก ถ้ารู้ว่าเป็นโฆษณา)
สิ่งที่ควรรู้
- ยิ่งถ้าเราทำโฆษณา AdSense ให้กลมกลืน กับเนื้อหาของเว็บไซต์มากเท่าไหร่ โอกาสได้คลิก ก็ยิ่งมีมากขึ้น
เกริ่น มาซะ ยืดยาว มาเข้าเรื่องกันเลย ....
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ถ้าเราทำเว็บไซต์ ขึ้นมาเว็บไซต์หนึ่ง หากต้องการให้ มีคนเข้ามาชมมากๆ ก็คงต้องมาทำให้เว็บไซต์ ของเรา ติดอันดับต้นๆ ใน Search Engine ให้ได้ ถ้าไม่ติดอันดับ 1 ก็ติด หน้าแรก ก็ยังดี
และวิธีที่จะทำให้เว็บของเราอยู่ใน Search Engine ก็คือ การทำ SEO นั่นเอง
โดยวิธีการทำ SEO จะแบ่ง ออกเป็น 2 ส่วน คือ
1. การทำ SEO ON Page
2. การทำ SEO OFF Page
สำหรับ การทำ SEO ON Page และ OFF Page จะขอพูดถึงในหัวข้อต่อไปนะครับ
สิ่งที่ควรรู้
- การทำ SEO มีผลโดยตรงต่อ Google Page Rank ซึ่งก็คือ ตัวเลขวัดความนิยม ของเว็บไซต์ โดยมีค่าระหว่าง 0 - 10 สามารถตรวจสอบได้โดยไปที่ Multiple Pagerank Checker สามารถตรวจสอบได้พร้อมกัน สูงสุด 100 เว็บ
- เว็บที่จะอยู่อันดับต้นๆ นั้น ส่วนใหญ่ จะมีค่า Page Rank มากกว่าเว็บที่อยู่ถัดมา หากเว็บไซต์ที่แสดงมี Page Rank เท่ากัน มี Keyword เหมือนกัน จะเลือกเว็บไซต์ที่มีการทำ SEO ที่ดีกว่า อยู่อันดับต้นๆ
- Google Index คือ การมีรายชื่อเว็บไซต์ของเราอยู่ใน Google สามารถตรวจสอบได้ โดยพิมพ์ http://www.google.com/search?q=site:madeadsense.com&hl=en&filter=0 (ให้แก้ไขชื่อเว็บไซต์เป็นชื่อเว็บของเรานะครับ) ถ้าผลลัพท์ มีข้อมูลของเว็บไซต์ของเรา อยู่ ก็แสดงว่า Google เข้ามาเก็บข้อมูลของเว็บไซต์ของเราแล้ว
- ถ้าเว็บไซต์เรามี จำนวนหน้า อยู่ 10 หน้า Google Index ก็คงไม่เกิน 10 หน้า ถ้าเว็บไซต์เรามีจำนวนหน้ามาก โอกาสที่จะถูก Google Index ก็มีมาก เช่นกัน
- วิธีทำ Google Index อย่างรวดเร็ว อธิบายในหัวข้อ วิธี Add site ใน Google
- วิธีทำ Yahoo Index อย่างรวดเร็ว อธิบายในหัวข้อ วิธี Add site ใน Yahoo
- สามารถตรวจสอบ Index ของ Google , Yahoo , MSN , Altavista , Allthewebได้ที่ Search Engine Saturation Checker สามารถตรวจสอบได้พร้อมกัน สูงสุด 10 เว็บ
- สามารถตรวจสอบดูได้ว่า Keyword ที่เราสนใจอยู่ มีคนใช้ ค้นหา มากน้อยแค่ไหน ได้ที่ Keyword Selector Tool ถ้า Keyword ไหน มีคนค้นหามาก ก็จะมี ผลลัพท์ของการแสดงผล ใน Search Engine มาก นั่นก็คือ จะทำให้เรามีคู่แข่ง มาก ใน Keyword นั้นๆ
- หากเรานำ Keyword ที่มีการค้นหาน้อย มาทำเว็บ โอกาสที่คนจะค้นหา ก็น้อย แต่ว่า ถ้ามีการค้นหา Keyword นั้นจริงๆ เราอาจจะติดอันดับ หน้าแรก เลยก็ได้ แม้ว่า Page Rank ของเรา อาจจะเป็น 0 ก็ตาม (แต่เว็บเราต้องถูก Index ใน Search Engine ก่อนนะ)
ที่มาของบทความ
เมดแอดเซ็นส์


<< Home