การซื้อสินค้าหรือบริการผ่านทางอินเทอร์เน็ต ปี 52 โต
การซื้อสินค้าหรือบริการผ่านทางอินเทอร์เน็ต เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้บริโภคในการซื้อสินค้าและบริการที่มีความหลากหลายมากขึ้น โดยช่องทางดังกล่าวได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน ประกอบกับภาคธุรกิจไทยเริ่มหันมาให้ความสนใจกับการใช้ประโยชน์จากพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อขายสินค้าและบริการผ่านอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก จึงมีการสำรวจถึงปัจจัยที่มีผลต่อการซื้อสินค้าหรือบริการผ่านทางอินเทอร์เน็ตขึ้น โดยการสำรวจดังกล่าวเป็นการชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มของการใช้บริการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์จากมุมมองของผู้บริโภค
จากข้อมูลของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ระบุว่า ในปี 51ผู้บริโภคมีความนิยมซื้อสินค้าและบริการผ่านอินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้นจากปี 50 ค่อนข้างมาก โดยผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 6,797 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 45.9 ตอบว่าเคยซื้อสินค้าและบริการผ่านทางอินเทอร์เน็ต เมื่อเทียบกับปี 50 ที่มีเพียงร้อยละ 28.9
โดยผู้บริโภคที่อยู่ในเขตเมืองและมีรายได้ครัวเรือนสูงมีแนวโน้มนิยมซื้อสินค้าบนอินเทอร์เน็ตมากกว่าผู้ที่มีรายได้ครัวเรือนต่ำ และกลุ่มผู้ชายเป็นกลุ่มที่นิยมซื้อสินค้าบนอินเทอร์เน็ตโดยเฉลี่ยมากกว่าผู้หญิง ซึ่งต่างจากผลสำรวจในปี 50 ที่ผลสำรวจระบุว่ากลุ่มที่นิยมซื้อสินค้ามากที่สุด คือกลุ่ม ผู้หญิงอายุระหว่าง 20-29 ปี ที่อยู่ในเขตเมืองและมีรายได้ครัวเรือนสูง ร้อยละ 58.5 ขณะที่กลุ่มที่ซื้อสินค้าบนอินเทอร์เน็ตน้อยที่สุด คือ กลุ่มผู้หญิงอายุมากกว่า 30 ปี ที่อยู่นอกเขตเมืองและมีรายได้ครัวเรือนต่ำ ร้อยละ 31.7
ส่วนมูลค่าการซื้อสินค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ต ผลสำรวจระบุว่า มูลค่าการสั่งซื้อต่ำกว่า 1,000 บาท ร้อยละ 27.6 มูลค่าตั้งแต่ 1,001-5,000 บาท ร้อยละ 41.2 มูลค่าตั้งแต่ 5,001-10,000 บาท ร้อยละ 13.3 มูลค่าตั้งแต่ 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 7.9 มูลค่าตั้งแต่ 20,001-40,000 บาท ร้อยละ 7.1 และมูลค่ามากกว่า 40,000 บาทขึ้นไป ร้อยละ 2.9
สินค้าหรือบริการที่เคยสั่งซื้อทางอินเทอร์เน็ตของผู้บริโภค ส่วนใหญ่ ระบุว่า เป็นหนังสือ ร้อยละ 36.4 รองลงมาคือ การสั่งจองบริการต่างๆ เช่น จองที่พักโรงแรม จองเช่ายานพาหนะ จองตั๋วภาพยนตร์ ร้อยละ 30.7 การสั่งซื้อซีดีภาพยนตร์ที่ส่งผ่านพัสดุ ร้อยละ 18.1 เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย เช่น กระเป๋า รองเท้า เข็มขัด ร้อยละ 17.7 และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ร้อยละ 16.3
สำหรับผู้บริโภคที่ไม่ซื้อสินค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ต จำนวน 8,012 คน ได้ระบุสาเหตุของการไม่ซื้อสินค้าดังกล่าวว่า ไม่ไว้ใจผู้ขายสินค้านั้นจริงหรือจะส่งสินค้าให้จริง ร้อยละ 59.1 รองลงมาได้แก่ ไม่สามารถเห็นหรือจับต้องสินค้าได้ ร้อยละ 58.9 ไม่มั่นใจในระบบชำระเงิน ร้อยละ 46.0 ขั้นตอนการสั่งซื้อยุ่งยาก ร้อยละ 40.7 และไม่ต้องการส่งข้อมูลบัตรเครดิตผ่านทางอินเทอร์เน็ต ร้อยละ 34.2
นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ อุปนายกสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กล่าวถึงแนวโน้มตลาดอีคอมเมิร์ซในปี 52 ว่า ปีนี้ตลาดอีคอมเมิร์ซน่าจะเป็นไปในแนวเว็บ 2.0 หรือเน้นแนวสังคมออนไลน์ มากขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนไป ผู้บริโภคมีความต้องการพูดคุยเกี่ยวกับรายละเอียดกับผู้ประกอบการมากขึ้น และคาดว่าในปีนี้ตลาดอีคอมเมิร์ซจะโตประมาณ 40% เหมือนปีที่ผ่านมา โดยการชำระผ่านทางออนไลน์ในปีนี้น่าจะมีเพิ่มขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา เพราะมีความสะดวกต่อผู้ใช้บริการ อีกทั้งการขนส่งผ่านทางไปรษณีย์ขณะนี้เริ่มที่จะรองรับกับธุรกิจอีคอมเมิร์ซมากขึ้น
“ผู้บริโภคในประเทศไทยคงไม่มีระบบขนส่งอื่นนอกเหนือจากการขนส่งทางไปรษณีย์ แต่การส่งสินค้าของอีคอมเมิร์ซในกรุงเทพฯขณะนี้เริ่มมีมากขึ้นและเลือกใช้วิธีการขนส่งผ่านทางแมสเซนเจอร์เป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าในช่วงภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำลงคนน่าจะหันมาใช้การซื้อสินค้าผ่านทางอีคอมเมิร์ซเพิ่มขึ้น”อุปนายกสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กล่าว
ด้านนายวรวุฒิ อุ่นใจ กรรมการผู้จัดการ บริษัทออฟฟิตเมท ให้ความเห็นว่าว่า การซื้อสินค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ตในปี 52 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่า 20-30% จากปี 51 เนื่องจากอัตราคนว่างงานเพิ่มขึ้นทำให้ผู้ประกอบการทางด้านนี้มีจำนวนเพิ่มขึ้น ส่วนผู้บริโภคนั้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน เนื่องจากผู้บริโภคบางรายขณะนี้เลิกเดินห้างสรรพสินค้า เพราะการเดินห้างสรรพสินค้ามีค่าใช้จ่ายที่มากกว่าการซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์ อีกทั้งผู้บริโภคส่วนใหญ่เริ่มจากเด็ก แต่ที่ผ่านมาผู้บริโภคกลุ่มดังกล่าวยังไม่มีกำลังทรัพย์มากพอที่จะซื้อสินค้าได้ แต่ในขณะนี้ผู้บริโภคกลุ่มนี้เริ่มต้นที่จะทำงาน จึงเป็นปัจจัยอีกประการที่ทำให้ตลาดผู้บริโภคอีคอมเมิร์ซโตขึ้น และจะโตขึ้นทุกปีหลังจากนี้
“การเดินห้างจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการเดินทาง อาหารการกิน และอื่นๆที่มากกว่าการซื้อสินค้าที่ตนเองต้องการเพียงอย่างเดียว อีกทั้งผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่เลิกเดินห้าง ยังมีการใช้อินเทอร์เน็ตอยู่ จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่จะซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์แทน และขณะนี้การขนส่งทางไปรษณีย์ก็มีการทำอัตราการขนส่งที่ต่ำลง เช่น ถ้าส่งสินค้าไม่เกิน 3 กิโลกรัม ราคาจะไม่เกิน 50 บาท สำหรับความเสียหายจาการจัดส่งดีขึ้น โดยระบบขนส่งของทางไปรษณีย์ มีแนวโน้มที่ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา”กรรมการผู้จัดการ บ.ออฟฟิตเมท กล่าว
นายวรวุฒิ ให้ความเห็นต่อว่า แนวโน้มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ 2-3 ปีที่ผ่านมา หมวดสินค้าแฟชั่น และเครื่องประดับยังเป็นหมวดสินค้าที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากที่สุด จากตอนแรกที่คาดกันว่าน่าจะเป็นสินค้าอุปกรณ์ทางด้านไอที ที่ได้รับความนิยมแต่สินค้าด้านดังกล่าวผู้บริโภคจะนิยมซื้อผ่านตัวแทนจำหน่ายมากกว่า การซื้อผ่านทางออนไลน์
กรรมการผู้จัดการ บ.ออฟฟิตเมท ให้ความเห็นอีกว่า การชำระเงินผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่ผ่านมานิยมชำระเงินผ่านทางตู้เอทีเอ็มมากที่สุด แต่ในปีหน้าแนวโน้มการชำระเงินน่าจะเป็นการชำระผ่านทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ เนื่องจากมีความสะดวกมากขึ้น เพียงไปผูกการตัดเงินกับทางโอเปอร์เรเตอร์ผู้ให้บริการเพื่อให้ทางธนาคารสามารถตัดเงินจากโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้
นายวรวุฒิ ให้ความเห็นด้วยว่า กลยุทธ์การทำตลาดของผู้ประกอบการในปี 52 โดยภาพรวมผู้ประกอบการยังคงทำการโฆษณาโดยการโพสต์ผ่านเว็บไซต์ต่างๆ แต่ในด้านการขายก็จะเป็นรูปแบบใหม่ๆมากขึ้น
จากรายงานดังกล่าวและการคาดการณ์ของผู้เกี่ยวข้อง มีความเห็นไปในทางสอดคล้องกันที่ว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซจะโตขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเหตุผลของการไม่ซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ต ของผู้บริโภค ที่ว่าขั้นตอนการสั่งซื้อสินค้าและบริการยุ่งยากนั้นได้เพิ่มระดับความสำคัญมากขึ้น จากปี50 ดังนั้นผู้ประกอบการและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทยยังจำเป็นต้องพัฒนาในเรื่องความสะดวกในการซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น
อรนุช ศรีมหาโพธิ์ทอง
itdigest@thairath.co.th
ที่มา http://bcoms.net/article/detail.asp?id=761
บทความจาก : ไทยรัฐ
วันที่ : 12 มกราคม 2552
จากข้อมูลของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ระบุว่า ในปี 51ผู้บริโภคมีความนิยมซื้อสินค้าและบริการผ่านอินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้นจากปี 50 ค่อนข้างมาก โดยผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 6,797 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 45.9 ตอบว่าเคยซื้อสินค้าและบริการผ่านทางอินเทอร์เน็ต เมื่อเทียบกับปี 50 ที่มีเพียงร้อยละ 28.9
โดยผู้บริโภคที่อยู่ในเขตเมืองและมีรายได้ครัวเรือนสูงมีแนวโน้มนิยมซื้อสินค้าบนอินเทอร์เน็ตมากกว่าผู้ที่มีรายได้ครัวเรือนต่ำ และกลุ่มผู้ชายเป็นกลุ่มที่นิยมซื้อสินค้าบนอินเทอร์เน็ตโดยเฉลี่ยมากกว่าผู้หญิง ซึ่งต่างจากผลสำรวจในปี 50 ที่ผลสำรวจระบุว่ากลุ่มที่นิยมซื้อสินค้ามากที่สุด คือกลุ่ม ผู้หญิงอายุระหว่าง 20-29 ปี ที่อยู่ในเขตเมืองและมีรายได้ครัวเรือนสูง ร้อยละ 58.5 ขณะที่กลุ่มที่ซื้อสินค้าบนอินเทอร์เน็ตน้อยที่สุด คือ กลุ่มผู้หญิงอายุมากกว่า 30 ปี ที่อยู่นอกเขตเมืองและมีรายได้ครัวเรือนต่ำ ร้อยละ 31.7
ส่วนมูลค่าการซื้อสินค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ต ผลสำรวจระบุว่า มูลค่าการสั่งซื้อต่ำกว่า 1,000 บาท ร้อยละ 27.6 มูลค่าตั้งแต่ 1,001-5,000 บาท ร้อยละ 41.2 มูลค่าตั้งแต่ 5,001-10,000 บาท ร้อยละ 13.3 มูลค่าตั้งแต่ 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 7.9 มูลค่าตั้งแต่ 20,001-40,000 บาท ร้อยละ 7.1 และมูลค่ามากกว่า 40,000 บาทขึ้นไป ร้อยละ 2.9
สินค้าหรือบริการที่เคยสั่งซื้อทางอินเทอร์เน็ตของผู้บริโภค ส่วนใหญ่ ระบุว่า เป็นหนังสือ ร้อยละ 36.4 รองลงมาคือ การสั่งจองบริการต่างๆ เช่น จองที่พักโรงแรม จองเช่ายานพาหนะ จองตั๋วภาพยนตร์ ร้อยละ 30.7 การสั่งซื้อซีดีภาพยนตร์ที่ส่งผ่านพัสดุ ร้อยละ 18.1 เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย เช่น กระเป๋า รองเท้า เข็มขัด ร้อยละ 17.7 และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ร้อยละ 16.3
สำหรับผู้บริโภคที่ไม่ซื้อสินค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ต จำนวน 8,012 คน ได้ระบุสาเหตุของการไม่ซื้อสินค้าดังกล่าวว่า ไม่ไว้ใจผู้ขายสินค้านั้นจริงหรือจะส่งสินค้าให้จริง ร้อยละ 59.1 รองลงมาได้แก่ ไม่สามารถเห็นหรือจับต้องสินค้าได้ ร้อยละ 58.9 ไม่มั่นใจในระบบชำระเงิน ร้อยละ 46.0 ขั้นตอนการสั่งซื้อยุ่งยาก ร้อยละ 40.7 และไม่ต้องการส่งข้อมูลบัตรเครดิตผ่านทางอินเทอร์เน็ต ร้อยละ 34.2
นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ อุปนายกสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กล่าวถึงแนวโน้มตลาดอีคอมเมิร์ซในปี 52 ว่า ปีนี้ตลาดอีคอมเมิร์ซน่าจะเป็นไปในแนวเว็บ 2.0 หรือเน้นแนวสังคมออนไลน์ มากขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนไป ผู้บริโภคมีความต้องการพูดคุยเกี่ยวกับรายละเอียดกับผู้ประกอบการมากขึ้น และคาดว่าในปีนี้ตลาดอีคอมเมิร์ซจะโตประมาณ 40% เหมือนปีที่ผ่านมา โดยการชำระผ่านทางออนไลน์ในปีนี้น่าจะมีเพิ่มขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา เพราะมีความสะดวกต่อผู้ใช้บริการ อีกทั้งการขนส่งผ่านทางไปรษณีย์ขณะนี้เริ่มที่จะรองรับกับธุรกิจอีคอมเมิร์ซมากขึ้น
“ผู้บริโภคในประเทศไทยคงไม่มีระบบขนส่งอื่นนอกเหนือจากการขนส่งทางไปรษณีย์ แต่การส่งสินค้าของอีคอมเมิร์ซในกรุงเทพฯขณะนี้เริ่มมีมากขึ้นและเลือกใช้วิธีการขนส่งผ่านทางแมสเซนเจอร์เป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าในช่วงภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำลงคนน่าจะหันมาใช้การซื้อสินค้าผ่านทางอีคอมเมิร์ซเพิ่มขึ้น”อุปนายกสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กล่าว
ด้านนายวรวุฒิ อุ่นใจ กรรมการผู้จัดการ บริษัทออฟฟิตเมท ให้ความเห็นว่าว่า การซื้อสินค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ตในปี 52 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่า 20-30% จากปี 51 เนื่องจากอัตราคนว่างงานเพิ่มขึ้นทำให้ผู้ประกอบการทางด้านนี้มีจำนวนเพิ่มขึ้น ส่วนผู้บริโภคนั้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน เนื่องจากผู้บริโภคบางรายขณะนี้เลิกเดินห้างสรรพสินค้า เพราะการเดินห้างสรรพสินค้ามีค่าใช้จ่ายที่มากกว่าการซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์ อีกทั้งผู้บริโภคส่วนใหญ่เริ่มจากเด็ก แต่ที่ผ่านมาผู้บริโภคกลุ่มดังกล่าวยังไม่มีกำลังทรัพย์มากพอที่จะซื้อสินค้าได้ แต่ในขณะนี้ผู้บริโภคกลุ่มนี้เริ่มต้นที่จะทำงาน จึงเป็นปัจจัยอีกประการที่ทำให้ตลาดผู้บริโภคอีคอมเมิร์ซโตขึ้น และจะโตขึ้นทุกปีหลังจากนี้
“การเดินห้างจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการเดินทาง อาหารการกิน และอื่นๆที่มากกว่าการซื้อสินค้าที่ตนเองต้องการเพียงอย่างเดียว อีกทั้งผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่เลิกเดินห้าง ยังมีการใช้อินเทอร์เน็ตอยู่ จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่จะซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์แทน และขณะนี้การขนส่งทางไปรษณีย์ก็มีการทำอัตราการขนส่งที่ต่ำลง เช่น ถ้าส่งสินค้าไม่เกิน 3 กิโลกรัม ราคาจะไม่เกิน 50 บาท สำหรับความเสียหายจาการจัดส่งดีขึ้น โดยระบบขนส่งของทางไปรษณีย์ มีแนวโน้มที่ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา”กรรมการผู้จัดการ บ.ออฟฟิตเมท กล่าว
นายวรวุฒิ ให้ความเห็นต่อว่า แนวโน้มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ 2-3 ปีที่ผ่านมา หมวดสินค้าแฟชั่น และเครื่องประดับยังเป็นหมวดสินค้าที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากที่สุด จากตอนแรกที่คาดกันว่าน่าจะเป็นสินค้าอุปกรณ์ทางด้านไอที ที่ได้รับความนิยมแต่สินค้าด้านดังกล่าวผู้บริโภคจะนิยมซื้อผ่านตัวแทนจำหน่ายมากกว่า การซื้อผ่านทางออนไลน์
กรรมการผู้จัดการ บ.ออฟฟิตเมท ให้ความเห็นอีกว่า การชำระเงินผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่ผ่านมานิยมชำระเงินผ่านทางตู้เอทีเอ็มมากที่สุด แต่ในปีหน้าแนวโน้มการชำระเงินน่าจะเป็นการชำระผ่านทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ เนื่องจากมีความสะดวกมากขึ้น เพียงไปผูกการตัดเงินกับทางโอเปอร์เรเตอร์ผู้ให้บริการเพื่อให้ทางธนาคารสามารถตัดเงินจากโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้
นายวรวุฒิ ให้ความเห็นด้วยว่า กลยุทธ์การทำตลาดของผู้ประกอบการในปี 52 โดยภาพรวมผู้ประกอบการยังคงทำการโฆษณาโดยการโพสต์ผ่านเว็บไซต์ต่างๆ แต่ในด้านการขายก็จะเป็นรูปแบบใหม่ๆมากขึ้น
จากรายงานดังกล่าวและการคาดการณ์ของผู้เกี่ยวข้อง มีความเห็นไปในทางสอดคล้องกันที่ว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซจะโตขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเหตุผลของการไม่ซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ต ของผู้บริโภค ที่ว่าขั้นตอนการสั่งซื้อสินค้าและบริการยุ่งยากนั้นได้เพิ่มระดับความสำคัญมากขึ้น จากปี50 ดังนั้นผู้ประกอบการและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทยยังจำเป็นต้องพัฒนาในเรื่องความสะดวกในการซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น
อรนุช ศรีมหาโพธิ์ทอง
itdigest@thairath.co.th
ที่มา http://bcoms.net/article/detail.asp?id=761
บทความจาก : ไทยรัฐ
วันที่ : 12 มกราคม 2552


<< Home