Friday, January 30, 2009

เทคนิคโหลดวิดีโอจากยูทูบ

KickYouTube l เทคนิคโหลดวิดีโอจากยูทูบง่ายเกินคาด!

ไม่ต้องลงโปรแกรม หรือติดตั้งปลั๊กอินใดๆ ในเบราว์เซอร์ให้ยุ่งยาก แค่เว็บไซต์เดียวซึ่งมีวิธีการใช้งานที่ไม่ต้องจำ ไม่ต้องสอน ก็ "สอย" วิดีโอดีๆ นับล้านๆ คลิปที่อยู่ในยูทูบได้ฟรีๆ

วิธีการก็เพียงแค่ เมื่อเปิดเจอวิดีโอไหนที่ต้องการดาวน์โหลด ก็แค่พิมพ์คำว่า "kick" ลงไปหน้าลิงก์นั้น ๆ

เช่น ลิงก์ของวิดีโอผู้จัดการมีที่อยู่เว็บดังนี้http://www.youtube.com/watch?v=u7-44fgpss8

เราก็เพียงพิมพ์คำว่า kick ลงไปข้างหน้าคำว่า Youtube ดังนี้ http://kickyoutube.com/watch?v=u7-44fgpss8

ก็จะมีแถบเครื่องมือของ KickYouTube ปรากฏอยู่ด้านบนของหน้าเว็บเพจปกติของยูทูบ

ขั้นตอนดาวน์โหลด

1. เลือกนามสกุลไฟล์ที่ต้องการนำไปใช้งาน ได้แก่ FLV, MPG, MP3, HD, MP4, iPhone

2. กดที่ปุ่มด้านขวามือที่เขียนว่า "Go"

3. จะมีป๊อปอัพขึ้นมาให้คุณกด "Save"


KickYouTube ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ไว และเร็ว ในการดาวน์โหลดวิดีโอจากยูทูบที่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป


ที่มา http://www.manager.co.th/cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9520000005337

Wednesday, January 28, 2009

ยาฮู (Yahoo!) ประกาศผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2008 ขาดทุนยับเยิน 303

ยาฮู (Yahoo!) ประกาศผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2008 ขาดทุนยับเยิน 303 ล้านเหรียญจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วเพราะรายได้ลดลง เชือไตรมาส 1 ปีนี้ดีขึ้นแน่นอนรับอานิสงส์ซีอีโอใหม่รัดเข็มขัดลดความอ้วนบริษัท

ตัวเลขขาดทุน 303 ล้านเหรียญนี้คิดเป็นสัดส่วนขาดทุน 22 เซนต์ต่อหุ้น เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าซึ่งยาฮูทำกำไรได้ 15 เซนต์ต่อหุ้น ครั้งนั้นยาฮูทำกำไรสุทธิ 206 ล้านเหรียญ

ยาฮูให้ข้อมูลว่า หากหักเพียงค่าใช้จ่ายเบื้องต้น บริษัทจะมีกำไร 17 เซนต์ต่อหุ้น เหนือกว่าตัวเลขคาดการณ์ 13 เซนต์ซึ่งบริษัทวิจัยทอมป์สัน รอยเตอร์ (Thomson Reuters) วิเคราะห์ไว้ โดยตลอดเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2008 รายรับของยาฮูลดลง 1 เปอร์เซ็นต์เหลือ 1.81 พันล้านเหรียญ จุดนี้ยาฮูเชื่อว่าหากไม่หักส่วนต่างค่าเงินสกุลต่างชาติ รายรับรวมของยาฮูจะเพิ่มขึ้น 3 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเมื่อหักค่าใช้จ่ายแก่พันธมิตรโฆษณาออนไลน์ รายรับรวมของยาฮูจะอยู่ที่ 1.37 พันล้านเหรียญ

สรุปรวมทั้งปี 2008 ยาฮูสามารถทำกำไรได้ 424 ล้านเหรียญ หรือ 29 เซนต์ต่อหุ้น บนรายรับรวม 7.2 พันล้านเหรียญ น้อยกว่าปี 2007 ซึ่งยาฮูทำกำไรได้ 660 ล้านเหรียญ หรือ 47 เซนต์ต่อหุ้น บนรายรับรวม 7 พันล้าน

เชื่อว่าตัวแดงในผลประกอบการยาฮูจะไม่ยืดเยื้อยาวนาน โดยมีการคาดการณ์ว่ามาตรการลดค่าใช้จ่าย ปรับโครงสร้างองค์กร และการบริหารยาฮูในมุมใหม่ของซีอีโอ แครอล บาร์ตซ์ จะทำให้ยาฮูมีกำไรเพิ่มขึ้น 16 เปอร์เซ็นต์ในไตรมาสแรกปีนี้ (มกราคม-มีนาคม) เทียบจากไตรมาสเดียวกันของปี 2008

Company Related Links :
Yahoo

Tuesday, January 27, 2009

iMeem เริ่มเก็บค่าบริการอัพโหลดไฟล์แล้ว

iMeem เริ่มเก็บค่าบริการอัพโหลดไฟล์แล้ว


iMeem เวบไซต์ Social-network ชื่อดัง ได้เริ่มทำการเก็บเงินค่าบริการอัพโหลดไฟล์แล้ว โดยเริ่มต้นที่ 29.99ดอลล่าร์สหรัฐฯ

โดย iMeem เป็นเวบไซต์ที่ให้บริการประเภท Social-network ซึ่งโดยปกติแล้ว เวบไซต์ประเภทนี้จะเปิดให้บริการฟรี ไม่คิดค่าใช้จ่าย โดยจะมีสปอนเซอร์โฆษณาต่างๆเป็นผู้ให้การสนับสนุน ซึ่ง iMeem ถูกเปิดให้บริการมาตั้งแต่เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2004 โดยมีจุดมุ่งหมายหลัก เพื่อให้เป็นเวบไซต์ที่เน้นการให้บริการทางด้านเสียงเพลง ซึ่งจะอนุญาตให้ผู้ใช้สามารถทำการอัพโหลดไฟล์เพลงเพื่อแชร์ร่วมกับเพื่อนๆได้ หรือที่มีชื่อเรียกว่า บริการ Streaming music ซึ่งไม่คิดค่าบริการ แต่ล่าสุดนี้ ทาง iMeem ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการใหม่ ซึ่งส่งผลให้เริ่มมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการอัพโหลดไฟล์กับผู้ใช้ที่ใช้บริการอัพโหลดไฟล์เพลงเกินกว่า 100 เพลง และไฟล์วีดีโอเกินกว่า 10 ไฟล์ โดยจะต้องเสียค่าธรรมเนียมในอัตรา 29.99ดอลล่าร์สหรัฐฯ สำหรับการอัพโหลดไฟล์เพลงได้สูงสุดถึง 1,000 ไฟล์ และไฟล์วีดีโอได้สูงสุดถึง 100 ไฟล์ต่อปี และ 100ดอลล่าร์สหรัฐฯ สำหรับการอัพโหลดไฟล์เพลงได้สูงสุดถึง 2,000 ไฟล์ และไฟล์วีดีโอได้สูงสุดถึง 500 ไฟล์ต่อปี โดยทั้งสองแพ็กเก็ตนี้ จะสามารถอัพโหลดไฟล์รูปภาพได้ไม่จำกัด โดยการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ สร้างความตกใจให้กับผู้ใช้เป็นอย่างมาก ถึงกับมีผู้ใช้บางรายยกเลิกการใช้บริการ iMeem ไปในทันที ซึ่งเรื่องนี้ Gina Olsen ตัวแทนจาก iMeem ได้ออกมากล่าวว่า สาเหตุที่ทาง iMeem ต้องทำการเรียกเก็บค่าบริการในครั้งนี้ ก็เพื่อสร้างรายได้ให้กับบริษัท เพื่อนำมาใช้ปรับปรุงเวบไซต์ต่อไป ซึ่งอยากให้ผู้ใช้ทุกคนทำความเข้าใจในจุดนี้

ข่าว : Pantip News

Friday, January 23, 2009

กูเกิลกำไรร่วง 68%


กูเกิลกำไรร่วง 68% เพราะการละลายเงินทุนในสองบริษัทใหม่ แม้กำไรจะลดลงแต่กูเกิลก็สามารถสู้ศึกเศรษฐกิจได้ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ยอดขายโฆษณาออนไลน์ยังคงแข็งแกร่งจนส่งให้มูลค่าหุ้นกูเกิลเพิ่มขึ้น

กำไรสุทธิของกูเกิลในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา (ตุลาคม-ธันวาคม 2008) นั้นลดลงเหลือ 382 ล้านเหรียญ หรือ 1.21 เหรียญต่อหุ้น จาก 1.21 พันล้านเหรียญหรือ 3.79 เหรียญต่อหุ้น โดยกูเกิลให้เหตุผลว่าเป็นเพราะต้องนำเงินมาลงทุนในบริษัท Clearwire Corp. และ AOL ของไทม์วอร์เนอร์ ซึ่งหากยังไม่หักค่าใช้จ่ายครั้งแรก กูเกิลจะมีกำไรราว 5.10 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ 4.95 เหรียญต่อหุ้น

รายรับรวมของกูเกิลในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมานั้นเพิ่มขึ้น 18 เปอร์เซ็นต์แตะระดับ 5.7 พันล้านเหรียญ รายได้ 3.81 พันล้านเหรียญมาจากเว็บไซต์ของกูเกิลเองเช่น google.com และ google.co.th (คิดเป็นสัดส่วน 67 เปอร์เซ็นต์ของรายได้) เพิ่มขึ้น 22 เปอร์เซ็นต์จากปีก่อนหน้า ขณะที่รายได้ 1.48 พันล้านเหรียญมาจากธุรกิจโฆษณาออนไลน์ผ่านเว็บไซต์พันธมิตร

กูเกิลเผยว่ารายได้ราว 50 เปอร์เซ็นต์มาจากพื้นที่นอกสหรัฐฯ อัตราค่าเงินผันผวนมีผลต่อรายได้บริษัทอย่างมาก เช่น เงินปอนด์อังกฤษ ที่ทำให้รายรับของกูเกิลในอังกฤษลดลงราว 1 เปอร์เซ็นต์

คู่แข่งของกูเกิลอย่างยาฮูนั้นมีกำหนดการผลประกอบการในวันอังคารที่ 27 มกราคมนี้ ขณะที่ไมโครซอฟท์ประกาศตัวเลขกำไรลดลงพร้อมกับเตรียมแผนปลดพนักงาน 5,000 ตำแหน่ง

Company Related Links :
Google


ผู้จัดการออนไลน์ cyberbiz

Wednesday, January 21, 2009

จีนครองแชมป์ คนใช้เน็ตมากที่สุดในโลก

จีนครองแชมป์ คนใช้เน็ตมากที่สุดในโลก

คอลัมน์ WEBBIZ

โดย siripong@kidtalentz.com



สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นประเทศที่การเติบโตทางเศรษฐกิจดำเนินไปอย่างรวดเร็วชนิดก้าวกระโดด ภายใต้การเติบโตทางเศรษฐกิจ สิ่งที่ควบคู่กันไปด้วยก็คือการขยายตัวของประชากรอินเทอร์เน็ตที่ก้าวกระโดดยิ่งกว่า ตัวเลขที่เปิดเผยโดย China Internet Network Information Centre ถึงสิ้นปี 2551 ที่ผ่านมา ยอดผู้ใช้อินเทอร์เน็ตของจีนสูงมากถึง 298 ล้านคนเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 41.9 เปอร์เซ็นต์

เท่ากับจีนกลายเป็นประเทศที่มีผู้ใช้ อินเทอร์เน็ตมากที่สุดในโลกไปแล้ว ลำพัง ผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ของจีนก็มีจำนวนเกือบเท่ากับจำนวนประชากรทั้งประเทศของสหรัฐ อเมริกา ซึ่งเคยเป็นประเทศที่มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดมาก่อน

การขยายตัวของประชากรอินเทอร์เน็ตในจีนนี้ น่าสังเกตว่าผู้ใช้ในชนบทเพิ่มสูงมากกว่าในเมือง นั่นคือในชนบทมีอัตราการขยายตัว 60.8 เปอร์เซ็นต์เป็น 84.6 ล้านคน ขณะที่ในเมืองขยายตัว 35.6 เปอร์เซ็นต์

นอกจากนั้นการเข้าอินเทอร์เน็ตโดยผ่านโทรศัพท์มือถือของจีนก็ยังสูงมากถึง 117.6 ล้านคน เพิ่มขึ้นถึง 133 เปอร์เซ็นต์จากปีก่อนหน้า โดยกลุ่มที่ใช้โมบาย อินเทอร์เน็ตมากที่สุดคือกลุ่มนักศึกษาคิดเป็น 43.5 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือ เป็นการใช้งานในทุกๆ ด้านอย่างที่เรารู้กันอยู่แล้ว

จากจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั้งหมด 298 ล้านคนนี้ 231 ล้านคนใช้สำหรับอ่านหรือดูข่าว ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าปีก่อน

มีข้อสังเกตอยู่ประการหนึ่งก็คือการใช้อินเทอร์เน็ตในจีนอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็วทั้งๆ ที่รัฐบาลค่อนข้างจะเข้มงวดกับเว็บไซต์ ทั้งการบล็อกเว็บหรือการเซ็นเซอร์ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่เกี่ยวกับความคิดเห็นทาง

การเมือง รวมถึงเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสมอื่นๆ เช่น เว็บไซต์ลามก เป็นต้น

การที่มีประชากรอินเทอร์เน็ตในประเทศมากเช่นนี้สร้างโอกาสใหม่ในทางธุรกิจผ่านอินเทอร์เน็ตได้มาก เพราะสามารถก้าวไปถึงจุดคุ้มทุน

ได้ไม่ยากนัก ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบเมื่อเทียบกับประเทศที่ประชากรอินเทอร์เน็ตไม่มากนักอย่างประเทศไทย

พัฒนาการของอินเทอร์เน็ตในจีนจึงเป็นพัฒนาการที่น่าจับตามองมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำไปทั่วโลก แต่อุปสรรคด้านภาษาทำให้เราแทบไม่รู้ความเคลื่อนไหวหรือการพัฒนาของเว็บไซต์จากประเทศที่มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดในโลกนี้เลย

ข่าว : ประชาชาติธุรกิจ

Tuesday, January 20, 2009

แอปเปิล (Apple) แถลงการณ์เปิดร้านออนไลน์สำหรับขายสินค้ามือสองแก่ผู้ใช้ชาวจีน

แอปเปิล (Apple) แถลงการณ์เปิดร้านออนไลน์สำหรับขายสินค้ามือสองแก่ผู้ใช้ชาวจีน มีทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์แมคอินทอชและเครื่องเล่นเพลงดิจิตอลพกพา จูงใจชาวแผ่นดินใหญ่ด้วยส่วนลดจากราคาปกติราว 22 เปอร์เซ็นต์ เชื่อว่าจะสามารถกระตุ้นตลาดแมคอินทอชในจีนได้อย่างคึกคัก

ตามข้อมูลในเว็บไซต์ของแอปเปิล แอปเปิลระบุว่าที่ผ่านมา บริษัทมีผลิตภัณฑ์จำนวนไม่น้อยที่จำหน่ายไปแล้วถูกส่งกลับคืนมา ซึ่งเมื่อแอปเปิลทำการปรับปรุงและทดสอบคุณภาพแล้วเสร็จก็ไม่ได้นำผลิตภัณฑ์นี้ไปทำประโยชน์ แอปเปิลจึงนำสินค้าใช้แล้วเหล่านี้มาจำหน่ายบนเว็บไซต์ภาษาจีนของบริษัทในราคาประหยัดกว่า

สินค้ามือสองของแอปเปิลที่จะวางจำหน่ายบนเว็บไซต์มีตั้งแต่ไอพ็อดชัฟเฟิล (iPod shuffle) ราคา 308 หยวน หรือประมาณ 1,540 บาท จนถึงไอแมค (iMac) ราคาเริ่มต้นที่ 14,000 หยวน

ประชาสัมพันธ์แอปเปิลประเทศจีนระบุว่า ได้เริ่มต้นโครงการจำหน่ายสินค้าแบรนด์แอปเปิลแบบมือสองในประเทศจีนตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยตัวเลขจำนวนสินค้ามือสองที่วางจำหน่ายทั้งหมดได้ รวมถึงเป้าหมายยอดขายที่แอปเปิลประเมินไว้ในอนาคต

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แอปเปิลเปิดฉากจำหน่ายสินค้ามือสองในราคาพิเศษ ก่อนหน้านี้ แอปเปิลมีโครงการจำหน่ายสินค้าพิเศษลักษณะนี้แล้วที่สหรัฐฯ อังกฤษ และญี่ปุ่นเมื่อหลายปีมาแล้ว แต่กลับไม่ได้รับความนิยมจากผู้ซื้อสินค้าออนไลน์เท่าที่ควร

อย่างไรก็ตาม การขายสินค้าแอปเปิลมือสองเชื่อว่ากำลังมีทิศทางเติบโตขึ้นในสหรัฐฯ โดยยักษ์ใหญ่ค้าปลีกแดนลุงแซมอย่างเบสต์บาย (Best Buy) นั้นประกาศเริ่มขายไอโฟน (iPhone 3G) มือสองแล้วเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ตั้งราคาจำหน่ายถูกกว่าราคาปกติ 50 เหรียญ เพื่อเอาใจตลาดที่ชื่นชอบสินค้าราคาพิเศษ

Company Related Links :
Apple

ที่มา ผู้จัดการออนไลน์

โพลเผย"วัยรุ่น"มีเงินส่วนใหญ่นิยมเก็บออมและลงทุน

โพลเผย"วัยรุ่น"มีเงินส่วนใหญ่นิยมเก็บออมและลงทุน

นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเอแบคนวัตกรรมทางสังคม การจัดการและธุรกิจ มหาวิทยาลัย อัสสัมชัญ (เอแบคโพล) เปิดเผยเมื่อวันที่ 19 ม.ค.ถึงผลสำรวจพฤติกรรมการติดตามข่าวสารของคนมีเงินชนรุ่นใหม่ (นิวเจน) กับการวางแผนชีวิตและการเงินในสภาวะเศรษฐกิจถดถอยยุควิกฤติแฮมเบอเกอร์ กรณีศึกษาตัวอย่างผู้มีรายได้ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อายุระหว่าง 30 -49 ปี จำนวนทั้งสิ้น 447 ราย ระหว่างวันที่ 1 ธ.ค. 2551 -18 ม.ค. 2552


ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 67.6 จัดสรรรายได้ไว้บางส่วนเพื่อการออมและการลงทุน ร้อยละ 17.7 จัดสรรรายได้บางส่วนไว้เพื่อการออมเพียงอย่างเดียว และร้อยละ 6.3 จัดสรรรายได้ไว้เพื่อการลงทุนเพียงอย่างเดียว ร้อยละ 8.4 ใช้จ่ายโดยไม่มีเงินเดือนเหลือเก็บออม เมื่อสอบถามถึงแนวทางปฏิบัติ เมื่อต้องการตัดสินใจใช้เงิน ร้อยละ 80.8 จะเห็น ความจำเป็น และ ประโยชน์ ก่อนจึงตัดสินใจใช้เงิน เมื่อสอบถามถึงสัดส่วนของรายรับและรายจ่ายในแต่ละเดือน พบว่าร้อยละ 70.8 ระบุมีรายจ่ายน้อยกว่ารายรับ ร้อยละ 16.3 รายจ่ายเท่ากับรายรับ และร้อยละ 12.9 รายจ่ายมากกว่ารายรับ


นายนพดล กล่าวต่อว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ร้อยละ 65.5 ระบุว่า สถานการณ์การเมืองภายในประเทศ เป็นปัจจัยที่ส่งผลทำให้กังวลต่อฐานะทางการเงิน ร้อยละ 64.6 ระบุเป็นสภาวะเศรษฐกิจโลก ร้อยละ 39.9 ระบุเป็นราคา สินค้าอุปโภค บริโภค ร้อยละ 37.8 ระบุหน้าที่การงานไม่แน่นอน ร้อยละ 37.2 ระบุราคาน้ำมัน ร้อยละ 32.0 ระบุอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างเกินกว่าครึ่งหรือร้อยละ 53.4 ระบุระยะเวลาของเงินสดที่เก็บสำรองไว้จะหมดไป ในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี หากเกิดเหตุฉุกเฉินไม่คาดฝันขึ้น เช่น ตกงาน เจ็บป่วย คนในครอบครัวเสียชีวิต เป็นต้น


ผลสำรวจพบว่า กลุ่มตัวอย่างคนรุ่นใหม่ที่มีรายได้สูงเหล่านี้เกินครึ่งหรือร้อยละ 52.5 สนใจต่อรูปแบบการวางแผนทางการเงินด้วยการออมเงินฝากกับธนาคาร รองลงมาคือร้อยละ 45.5 วางแผนทางการเงิน เพื่อการศึกษาของบุตร ร้อยละ 41.3 วางแผนการเงินเพื่อวัยเกษียณ ร้อยละ 34.0 วางแผนการเงินในรูปแบบประกันชีวิต เป็นต้น

ที่มา มติชนออนไลน์

Sunday, January 18, 2009

การซื้อสินค้าหรือบริการผ่านทางอินเทอร์เน็ต ปี 52 โต

การซื้อสินค้าหรือบริการผ่านทางอินเทอร์เน็ต เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้บริโภคในการซื้อสินค้าและบริการที่มีความหลากหลายมากขึ้น โดยช่องทางดังกล่าวได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน ประกอบกับภาคธุรกิจไทยเริ่มหันมาให้ความสนใจกับการใช้ประโยชน์จากพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อขายสินค้าและบริการผ่านอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก จึงมีการสำรวจถึงปัจจัยที่มีผลต่อการซื้อสินค้าหรือบริการผ่านทางอินเทอร์เน็ตขึ้น โดยการสำรวจดังกล่าวเป็นการชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มของการใช้บริการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์จากมุมมองของผู้บริโภค


จากข้อมูลของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ระบุว่า ในปี 51ผู้บริโภคมีความนิยมซื้อสินค้าและบริการผ่านอินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้นจากปี 50 ค่อนข้างมาก โดยผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 6,797 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 45.9 ตอบว่าเคยซื้อสินค้าและบริการผ่านทางอินเทอร์เน็ต เมื่อเทียบกับปี 50 ที่มีเพียงร้อยละ 28.9


โดยผู้บริโภคที่อยู่ในเขตเมืองและมีรายได้ครัวเรือนสูงมีแนวโน้มนิยมซื้อสินค้าบนอินเทอร์เน็ตมากกว่าผู้ที่มีรายได้ครัวเรือนต่ำ และกลุ่มผู้ชายเป็นกลุ่มที่นิยมซื้อสินค้าบนอินเทอร์เน็ตโดยเฉลี่ยมากกว่าผู้หญิง ซึ่งต่างจากผลสำรวจในปี 50 ที่ผลสำรวจระบุว่ากลุ่มที่นิยมซื้อสินค้ามากที่สุด คือกลุ่ม ผู้หญิงอายุระหว่าง 20-29 ปี ที่อยู่ในเขตเมืองและมีรายได้ครัวเรือนสูง ร้อยละ 58.5 ขณะที่กลุ่มที่ซื้อสินค้าบนอินเทอร์เน็ตน้อยที่สุด คือ กลุ่มผู้หญิงอายุมากกว่า 30 ปี ที่อยู่นอกเขตเมืองและมีรายได้ครัวเรือนต่ำ ร้อยละ 31.7


ส่วนมูลค่าการซื้อสินค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ต ผลสำรวจระบุว่า มูลค่าการสั่งซื้อต่ำกว่า 1,000 บาท ร้อยละ 27.6 มูลค่าตั้งแต่ 1,001-5,000 บาท ร้อยละ 41.2 มูลค่าตั้งแต่ 5,001-10,000 บาท ร้อยละ 13.3 มูลค่าตั้งแต่ 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 7.9 มูลค่าตั้งแต่ 20,001-40,000 บาท ร้อยละ 7.1 และมูลค่ามากกว่า 40,000 บาทขึ้นไป ร้อยละ 2.9


สินค้าหรือบริการที่เคยสั่งซื้อทางอินเทอร์เน็ตของผู้บริโภค ส่วนใหญ่ ระบุว่า เป็นหนังสือ ร้อยละ 36.4 รองลงมาคือ การสั่งจองบริการต่างๆ เช่น จองที่พักโรงแรม จองเช่ายานพาหนะ จองตั๋วภาพยนตร์ ร้อยละ 30.7 การสั่งซื้อซีดีภาพยนตร์ที่ส่งผ่านพัสดุ ร้อยละ 18.1 เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย เช่น กระเป๋า รองเท้า เข็มขัด ร้อยละ 17.7 และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ร้อยละ 16.3


สำหรับผู้บริโภคที่ไม่ซื้อสินค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ต จำนวน 8,012 คน ได้ระบุสาเหตุของการไม่ซื้อสินค้าดังกล่าวว่า ไม่ไว้ใจผู้ขายสินค้านั้นจริงหรือจะส่งสินค้าให้จริง ร้อยละ 59.1 รองลงมาได้แก่ ไม่สามารถเห็นหรือจับต้องสินค้าได้ ร้อยละ 58.9 ไม่มั่นใจในระบบชำระเงิน ร้อยละ 46.0 ขั้นตอนการสั่งซื้อยุ่งยาก ร้อยละ 40.7 และไม่ต้องการส่งข้อมูลบัตรเครดิตผ่านทางอินเทอร์เน็ต ร้อยละ 34.2


นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ อุปนายกสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กล่าวถึงแนวโน้มตลาดอีคอมเมิร์ซในปี 52 ว่า ปีนี้ตลาดอีคอมเมิร์ซน่าจะเป็นไปในแนวเว็บ 2.0 หรือเน้นแนวสังคมออนไลน์ มากขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนไป ผู้บริโภคมีความต้องการพูดคุยเกี่ยวกับรายละเอียดกับผู้ประกอบการมากขึ้น และคาดว่าในปีนี้ตลาดอีคอมเมิร์ซจะโตประมาณ 40% เหมือนปีที่ผ่านมา โดยการชำระผ่านทางออนไลน์ในปีนี้น่าจะมีเพิ่มขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา เพราะมีความสะดวกต่อผู้ใช้บริการ อีกทั้งการขนส่งผ่านทางไปรษณีย์ขณะนี้เริ่มที่จะรองรับกับธุรกิจอีคอมเมิร์ซมากขึ้น


“ผู้บริโภคในประเทศไทยคงไม่มีระบบขนส่งอื่นนอกเหนือจากการขนส่งทางไปรษณีย์ แต่การส่งสินค้าของอีคอมเมิร์ซในกรุงเทพฯขณะนี้เริ่มมีมากขึ้นและเลือกใช้วิธีการขนส่งผ่านทางแมสเซนเจอร์เป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าในช่วงภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำลงคนน่าจะหันมาใช้การซื้อสินค้าผ่านทางอีคอมเมิร์ซเพิ่มขึ้น”อุปนายกสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กล่าว


ด้านนายวรวุฒิ อุ่นใจ กรรมการผู้จัดการ บริษัทออฟฟิตเมท ให้ความเห็นว่าว่า การซื้อสินค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ตในปี 52 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่า 20-30% จากปี 51 เนื่องจากอัตราคนว่างงานเพิ่มขึ้นทำให้ผู้ประกอบการทางด้านนี้มีจำนวนเพิ่มขึ้น ส่วนผู้บริโภคนั้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน เนื่องจากผู้บริโภคบางรายขณะนี้เลิกเดินห้างสรรพสินค้า เพราะการเดินห้างสรรพสินค้ามีค่าใช้จ่ายที่มากกว่าการซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์ อีกทั้งผู้บริโภคส่วนใหญ่เริ่มจากเด็ก แต่ที่ผ่านมาผู้บริโภคกลุ่มดังกล่าวยังไม่มีกำลังทรัพย์มากพอที่จะซื้อสินค้าได้ แต่ในขณะนี้ผู้บริโภคกลุ่มนี้เริ่มต้นที่จะทำงาน จึงเป็นปัจจัยอีกประการที่ทำให้ตลาดผู้บริโภคอีคอมเมิร์ซโตขึ้น และจะโตขึ้นทุกปีหลังจากนี้


“การเดินห้างจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการเดินทาง อาหารการกิน และอื่นๆที่มากกว่าการซื้อสินค้าที่ตนเองต้องการเพียงอย่างเดียว อีกทั้งผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่เลิกเดินห้าง ยังมีการใช้อินเทอร์เน็ตอยู่ จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่จะซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์แทน และขณะนี้การขนส่งทางไปรษณีย์ก็มีการทำอัตราการขนส่งที่ต่ำลง เช่น ถ้าส่งสินค้าไม่เกิน 3 กิโลกรัม ราคาจะไม่เกิน 50 บาท สำหรับความเสียหายจาการจัดส่งดีขึ้น โดยระบบขนส่งของทางไปรษณีย์ มีแนวโน้มที่ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา”กรรมการผู้จัดการ บ.ออฟฟิตเมท กล่าว


นายวรวุฒิ ให้ความเห็นต่อว่า แนวโน้มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ 2-3 ปีที่ผ่านมา หมวดสินค้าแฟชั่น และเครื่องประดับยังเป็นหมวดสินค้าที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากที่สุด จากตอนแรกที่คาดกันว่าน่าจะเป็นสินค้าอุปกรณ์ทางด้านไอที ที่ได้รับความนิยมแต่สินค้าด้านดังกล่าวผู้บริโภคจะนิยมซื้อผ่านตัวแทนจำหน่ายมากกว่า การซื้อผ่านทางออนไลน์



กรรมการผู้จัดการ บ.ออฟฟิตเมท ให้ความเห็นอีกว่า การชำระเงินผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่ผ่านมานิยมชำระเงินผ่านทางตู้เอทีเอ็มมากที่สุด แต่ในปีหน้าแนวโน้มการชำระเงินน่าจะเป็นการชำระผ่านทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ เนื่องจากมีความสะดวกมากขึ้น เพียงไปผูกการตัดเงินกับทางโอเปอร์เรเตอร์ผู้ให้บริการเพื่อให้ทางธนาคารสามารถตัดเงินจากโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้


นายวรวุฒิ ให้ความเห็นด้วยว่า กลยุทธ์การทำตลาดของผู้ประกอบการในปี 52 โดยภาพรวมผู้ประกอบการยังคงทำการโฆษณาโดยการโพสต์ผ่านเว็บไซต์ต่างๆ แต่ในด้านการขายก็จะเป็นรูปแบบใหม่ๆมากขึ้น


จากรายงานดังกล่าวและการคาดการณ์ของผู้เกี่ยวข้อง มีความเห็นไปในทางสอดคล้องกันที่ว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซจะโตขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเหตุผลของการไม่ซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ต ของผู้บริโภค ที่ว่าขั้นตอนการสั่งซื้อสินค้าและบริการยุ่งยากนั้นได้เพิ่มระดับความสำคัญมากขึ้น จากปี50 ดังนั้นผู้ประกอบการและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทยยังจำเป็นต้องพัฒนาในเรื่องความสะดวกในการซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น

อรนุช ศรีมหาโพธิ์ทอง
itdigest@thairath.co.th


ที่มา http://bcoms.net/article/detail.asp?id=761
บทความจาก : ไทยรัฐ
วันที่ : 12 มกราคม 2552

อานิสงฆ์แบงก์ปลอมระบาด โอกาสทองของธุรกรรมการเงิน

อานิสงฆ์แบงก์ปลอมระบาด โอกาสทองของธุรกรรมการเงิน


จากเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า ความเจริญทางวิวัฒนาการที่ทันสมัย กลับส่งผลให้บรรเดาคนโกงและมิจฉาชีพ นำประโยชน์ไปใช้ในทางมิชอบ และสร้างเครื่องมือเพื่อใช้ในการฉ้อฉลและกระทำความผิดได้อย่างแนบเนียน บนความทุกข์และความหวาดผวาของทั้งสังคม รวมทั้ง ยังยากแก่การตรวจสอบและดำเนินการเอาผิด จนสร้างความวุ่นวายและก่อให้เกิดปัญหาในสังคมตามมาระลอกใหญ่ และทำให้ผู้คนในสังคมได้รับผลกระทบไปตามๆ กัน

แม้ว่ารัฐบาล หน่วยงาน และองค์กรต่างๆ จะออกมาแสดงกำลัง เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าวมากเพียงใดก็ตาม สามัญสำนึกของผู้กระทำความผิดทั้งหลายที่มีอยู่น้อยนิด ก็ยังคงน้อยและมีทีท่าว่าจะน้อยลงอย่างต่อเนื่อง ในมุมมองของผู้ให้บริการทางการเงินช่องทางใหม่ ที่รู้จักกันในนาม “ธุรกรรมทางการเงิน” จะมาเปิดใจต่อปัญหาการปลอมแปลงทางเศรษฐกิจ ว่าเรื่องดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจมาก-น้อยเพียงไร หรือจะกลับกลายเป็นโอกาสครั้งสำคัญ ที่จะทำให้สามารถขยับใกล้ผู้บริโภค และสร้างรายได้ให้องค์กรของตนได้มากขึ้น
ไปที่หน้าแรกทิปคอม ความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ คลิก

อ่านต่อที่นี่ คะ http://bcoms.net/article/detail.asp?id=762

Friday, January 16, 2009

โอลิมปัสเตรียมทุ่มงบ 250 ล้านบาท สร้างแบรนด์

โอลิมปัสเตรียมทุ่มงบ 250 ล้านบาท สร้างแบรนด์

โอลิมปัสเตรียมทุ่มงบ 250 ล้านบาท สร้างแบรนด์ให้ได้รับความรู้จักมากขึ้นในส่วนของนักเรียน นักศึกษา จากเดิมผู้ที่รู้จักส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงวัยกลางคน เตรียมขึ้นแท่นเบอร์ 3 ในตลาดกล้องดิจิตอล พร้อมตั้งเป้ายอดโตปีนี้ 30%

นายจรัสพงศ์ เจนจรัสสกุล ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายคอนซูเมอร์ อิเล็คทรอนิคส์ บริษัท เจ็บเซ่น แอนด์ เจ๊สเซ่น มาร์เก็ตติ้ง (ที) จำกัด กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมายอดขายของกล้องดิจิตอลเพิ่มขึ้นจากปีก่อนมากกว่า 28% แต่ถ้ามองในส่วนของมูลค่าตลาดจะอยู่ที่ 8% เท่านั้น เนื่องจากราคาเฉลี่ยของกล้องในปัจจุบันจะอยู่ที่ประมาณ 8,500 บาท ซึ่งต่ำลงกว่าในปีที่ผ่านมา และคาดว่าในปีนี้จะลงไปอยู่ที่ประมาณ 7,500 - 8,000 บาท

"ตลาดกล้องดิจิตอลในประเทศไทย เป็นตลาดเดียวที่มียอดขายโตขึ้นจากปีที่ผ่านมาในแถบภูมิภาคเอเชียด้วยกัน ซึ่งสวนกับกระแสเศรษฐกิจขาลงที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้ทางโอลิมปัสให้ความสนใจกับตลาดในประเทศไทยมากขึ้น โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะขยายส่วนแบ่งการตลาดในส่วนของกล้อง DSLR จาก 7% ในปัจจุบันให้ไปอยู่ที่ประมาณ 10 - 12 % ส่วนตลาดกล้องคอมแพกต์ที่ปัจจุบันอยู่ที่ 10% ให้ขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 15% ภายในปีนี้"

นายจรัสพงศ์ ให้ข้อมูลเพิ่มว่า ทางโอลิมปัสได้กำหนดงบประมาณในการโฆษณาในปีนี้อยู่ที่ 250 ล้านบาท เพื่อที่จะนำมาสร้างภาพลักษณ์ของโอลิมปัสให้คนทั่วไปรู้จักมากขึ้น ซึ่งทางเจ็บเซ่น แอนด์ เจ๊สเซ่น จะเน้นไปที่การจัด Road Show ให้กลุ่มนักเรียน นักศึกษา ได้ทดลองใช้สินค้า พร้อมเพิ่มโฆษณาตามป้ายประชาสัมพันธ์ เว็บไซต์ รวมไปถึงหน้าร้านให้ติด 1 ใน 3 แบรนด์ผู้นำด้านตลาดกล้องดิจิตอล

"งบประมาณที่ตั้งไว้ 250 ล้านบาท จะแบ่งออกเป็น 100 ล้านบาทสำหรับการสร้างแบรนด์โดยเฉพาะ ส่วนที่เหลือจะไปอยู่ในการจัดกิจกรรมต่างๆ ซึ่งจะเน้นกลุ่มลูกค้าใหม่ เพราะลูกค้าเก่าจะไม่ทำการเปลี่ยนจากแบรนด์เดิมที่มีอุปกรณ์เสริมอยู่แล้วอย่างเด็ดขาด ทำให้ต้องลงไปอยู่ในกลุ่มลูกค้าที่เป็น นักเรียน นักศึกษา เป็นหลัก"

การเข้าสู่ตลาดในระดับนักเรียน นักศึกษาจะใช้กลยุทธ์ในการให้ทาง โรงเรียน หรือ มหาวิทยาลัย ได้นำสินค้าไปใช้ในการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนได้ทดลองใช้ รวมไปถึงรับรู้ถึงฟังก์ชันต่างๆในการใช้งาน ซึ่งทางเจ็บเซ่น แอนด์ เจ๊สเซ่นเอง ก็ได้มีการจัดกิจกรรมเหล่านี้มานานแล้ว เช่น โครงการเยาวชนสมองแก้วที่จัดร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

สำหรับกล้อง D-SLR Olympus E-30 ที่เปิดตัวเมื่อวานนี้ (14 มกราคม) จะชูจุดเด่นที่ฟังก์ชัน อาร์ต ฟิลเตอร์ ที่สามารถใช้งานแทนฟิลเตอร์ครอบหน้าเลนส์ เพื่อให้ได้มุมมองใหม่ๆของภาพ รวมไปถึงระบบกันสั่นที่ติดอยู่ที่ตัวกล้อง ทำให้สามารถนำเลนส์ชนิดใดก็ได้ มาใส่โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีระบบกันสั่นหรือไม่ ราคาจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 49,900 บาท พร้อมเลนส์คิท 14-54mm F2.8-3.5

ผู้จัดการออนไลน์

โอลิมปัสเตรียมทุ่มงบ 250 ล้านบาท สร้างแบรนด์

โอลิมปัสเตรียมทุ่มงบ 250 ล้านบาท สร้างแบรนด์ให้ได้รับความรู้จักมากขึ้นในส่วนของนักเรียน นักศึกษา จากเดิมผู้ที่รู้จักส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงวัยกลางคน เตรียมขึ้นแท่นเบอร์ 3 ในตลาดกล้องดิจิตอล พร้อมตั้งเป้ายอดโตปีนี้ 30%

นายจรัสพงศ์ เจนจรัสสกุล ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายคอนซูเมอร์ อิเล็คทรอนิคส์ บริษัท เจ็บเซ่น แอนด์ เจ๊สเซ่น มาร์เก็ตติ้ง (ที) จำกัด กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมายอดขายของกล้องดิจิตอลเพิ่มขึ้นจากปีก่อนมากกว่า 28% แต่ถ้ามองในส่วนของมูลค่าตลาดจะอยู่ที่ 8% เท่านั้น เนื่องจากราคาเฉลี่ยของกล้องในปัจจุบันจะอยู่ที่ประมาณ 8,500 บาท ซึ่งต่ำลงกว่าในปีที่ผ่านมา และคาดว่าในปีนี้จะลงไปอยู่ที่ประมาณ 7,500 - 8,000 บาท

"ตลาดกล้องดิจิตอลในประเทศไทย เป็นตลาดเดียวที่มียอดขายโตขึ้นจากปีที่ผ่านมาในแถบภูมิภาคเอเชียด้วยกัน ซึ่งสวนกับกระแสเศรษฐกิจขาลงที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้ทางโอลิมปัสให้ความสนใจกับตลาดในประเทศไทยมากขึ้น โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะขยายส่วนแบ่งการตลาดในส่วนของกล้อง DSLR จาก 7% ในปัจจุบันให้ไปอยู่ที่ประมาณ 10 - 12 % ส่วนตลาดกล้องคอมแพกต์ที่ปัจจุบันอยู่ที่ 10% ให้ขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 15% ภายในปีนี้"

นายจรัสพงศ์ ให้ข้อมูลเพิ่มว่า ทางโอลิมปัสได้กำหนดงบประมาณในการโฆษณาในปีนี้อยู่ที่ 250 ล้านบาท เพื่อที่จะนำมาสร้างภาพลักษณ์ของโอลิมปัสให้คนทั่วไปรู้จักมากขึ้น ซึ่งทางเจ็บเซ่น แอนด์ เจ๊สเซ่น จะเน้นไปที่การจัด Road Show ให้กลุ่มนักเรียน นักศึกษา ได้ทดลองใช้สินค้า พร้อมเพิ่มโฆษณาตามป้ายประชาสัมพันธ์ เว็บไซต์ รวมไปถึงหน้าร้านให้ติด 1 ใน 3 แบรนด์ผู้นำด้านตลาดกล้องดิจิตอล

"งบประมาณที่ตั้งไว้ 250 ล้านบาท จะแบ่งออกเป็น 100 ล้านบาทสำหรับการสร้างแบรนด์โดยเฉพาะ ส่วนที่เหลือจะไปอยู่ในการจัดกิจกรรมต่างๆ ซึ่งจะเน้นกลุ่มลูกค้าใหม่ เพราะลูกค้าเก่าจะไม่ทำการเปลี่ยนจากแบรนด์เดิมที่มีอุปกรณ์เสริมอยู่แล้วอย่างเด็ดขาด ทำให้ต้องลงไปอยู่ในกลุ่มลูกค้าที่เป็น นักเรียน นักศึกษา เป็นหลัก"

การเข้าสู่ตลาดในระดับนักเรียน นักศึกษาจะใช้กลยุทธ์ในการให้ทาง โรงเรียน หรือ มหาวิทยาลัย ได้นำสินค้าไปใช้ในการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนได้ทดลองใช้ รวมไปถึงรับรู้ถึงฟังก์ชันต่างๆในการใช้งาน ซึ่งทางเจ็บเซ่น แอนด์ เจ๊สเซ่นเอง ก็ได้มีการจัดกิจกรรมเหล่านี้มานานแล้ว เช่น โครงการเยาวชนสมองแก้วที่จัดร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

สำหรับกล้อง D-SLR Olympus E-30 ที่เปิดตัวเมื่อวานนี้ (14 มกราคม) จะชูจุดเด่นที่ฟังก์ชัน อาร์ต ฟิลเตอร์ ที่สามารถใช้งานแทนฟิลเตอร์ครอบหน้าเลนส์ เพื่อให้ได้มุมมองใหม่ๆของภาพ รวมไปถึงระบบกันสั่นที่ติดอยู่ที่ตัวกล้อง ทำให้สามารถนำเลนส์ชนิดใดก็ได้ มาใส่โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีระบบกันสั่นหรือไม่ ราคาจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 49,900 บาท พร้อมเลนส์คิท 14-54mm F2.8-3.5

Company Relate Link :
Olympus

ที่มา
www.manager.co.th

มือถือในอนาคตออกแบบให้สวมใส่ติดตัว

มือถือในอนาคตออกแบบให้สวมใส่ติดตัว


บก.นิตยสาร T3 ระบุว่า เทคโนโลยี โทรศัพท์มือถือจะเป็นเพียงอุปกรณ์เดียวที่ตอบสนองความต้องการได้ทุกอย่าง ใช้งานแทนคอม พิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ค่ายโซนี่ฯ เตรียมวางตลาดมือ ถือที่ออกแบบให้สวมใส่ติดร่างกาย

นายไมเคิล บรู๊คส์ บรรณาธิการ T3 ซึ่งเป็นนิตยสารเทคโนโลยีและอุปกรณ์อิเล็กทรอ นิกส์ที่ได้รับความนิยม ระบุว่า อีกไม่นานจะมีอุปกรณ์เพียงหนึ่งเดียว ที่ตอบสนองความต้องการได้ทุกอย่าง ทั้งการสื่อสาร ค้นคว้า ส่งข้อมูล บันเทิง ฯลฯ โดยโทรศัพท์มือถือจะมีความสามารถมากขึ้นแทบไม่แตกต่างจากเครื่องคอม พิวเตอร์ และยังใช้งานแทนคอมพิวเตอร์โน้ต บุ๊กได้

โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ มีหน้าจอระบบ สัมผัส ซึ่งทำให้การพิมพ์หรือป้อนข้อมูล สั่งงาน และชมภาพได้ง่ายขึ้น รวมทั้งติดตั้งจีพีเอสไว้ในตัวเครื่อง ซึ่งได้รับความนิยมจากวัยรุ่นและคนทำงานวัย 20 ต้น ๆ ส่วนใหญ่ต้องการใช้จีพีเอส เพื่อค้นหาเพื่อนกำลังทำอะไร อยู่ที่ไหน หรือหาร้านกาแฟที่ไม่ไกลสำหรับพบปะกัน หรือหาร้านอาหาร

ส่วนผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือ เช่น โนเกีย ซึ่งมีผู้ใช้กว่า 900 ล้านคนทั่วโลก ก็มีโนเกีย N96 ซึ่งรับชมโทรทัศน์ได้มากถึง 30 ช่อง ค่ายโซนี่ อีริคสัน ก็มีรายงานว่า กำลังพัฒนาโทรศัพท์ มือถือที่ให้สามารถสวมใส่ติดร่างกายได้ ไม่จำเป็น ต้องพกพาหรือถือติดตัวอีกต่อไป.

ข่าว : เดลินิวส์