โพลเผย"วัยรุ่น"มีเงินส่วนใหญ่นิยมเก็บออมและลงทุน
โพลเผย"วัยรุ่น"มีเงินส่วนใหญ่นิยมเก็บออมและลงทุน
นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเอแบคนวัตกรรมทางสังคม การจัดการและธุรกิจ มหาวิทยาลัย อัสสัมชัญ (เอแบคโพล) เปิดเผยเมื่อวันที่ 19 ม.ค.ถึงผลสำรวจพฤติกรรมการติดตามข่าวสารของคนมีเงินชนรุ่นใหม่ (นิวเจน) กับการวางแผนชีวิตและการเงินในสภาวะเศรษฐกิจถดถอยยุควิกฤติแฮมเบอเกอร์ กรณีศึกษาตัวอย่างผู้มีรายได้ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อายุระหว่าง 30 -49 ปี จำนวนทั้งสิ้น 447 ราย ระหว่างวันที่ 1 ธ.ค. 2551 -18 ม.ค. 2552
ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 67.6 จัดสรรรายได้ไว้บางส่วนเพื่อการออมและการลงทุน ร้อยละ 17.7 จัดสรรรายได้บางส่วนไว้เพื่อการออมเพียงอย่างเดียว และร้อยละ 6.3 จัดสรรรายได้ไว้เพื่อการลงทุนเพียงอย่างเดียว ร้อยละ 8.4 ใช้จ่ายโดยไม่มีเงินเดือนเหลือเก็บออม เมื่อสอบถามถึงแนวทางปฏิบัติ เมื่อต้องการตัดสินใจใช้เงิน ร้อยละ 80.8 จะเห็น ความจำเป็น และ ประโยชน์ ก่อนจึงตัดสินใจใช้เงิน เมื่อสอบถามถึงสัดส่วนของรายรับและรายจ่ายในแต่ละเดือน พบว่าร้อยละ 70.8 ระบุมีรายจ่ายน้อยกว่ารายรับ ร้อยละ 16.3 รายจ่ายเท่ากับรายรับ และร้อยละ 12.9 รายจ่ายมากกว่ารายรับ
นายนพดล กล่าวต่อว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ร้อยละ 65.5 ระบุว่า สถานการณ์การเมืองภายในประเทศ เป็นปัจจัยที่ส่งผลทำให้กังวลต่อฐานะทางการเงิน ร้อยละ 64.6 ระบุเป็นสภาวะเศรษฐกิจโลก ร้อยละ 39.9 ระบุเป็นราคา สินค้าอุปโภค บริโภค ร้อยละ 37.8 ระบุหน้าที่การงานไม่แน่นอน ร้อยละ 37.2 ระบุราคาน้ำมัน ร้อยละ 32.0 ระบุอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างเกินกว่าครึ่งหรือร้อยละ 53.4 ระบุระยะเวลาของเงินสดที่เก็บสำรองไว้จะหมดไป ในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี หากเกิดเหตุฉุกเฉินไม่คาดฝันขึ้น เช่น ตกงาน เจ็บป่วย คนในครอบครัวเสียชีวิต เป็นต้น
ผลสำรวจพบว่า กลุ่มตัวอย่างคนรุ่นใหม่ที่มีรายได้สูงเหล่านี้เกินครึ่งหรือร้อยละ 52.5 สนใจต่อรูปแบบการวางแผนทางการเงินด้วยการออมเงินฝากกับธนาคาร รองลงมาคือร้อยละ 45.5 วางแผนทางการเงิน เพื่อการศึกษาของบุตร ร้อยละ 41.3 วางแผนการเงินเพื่อวัยเกษียณ ร้อยละ 34.0 วางแผนการเงินในรูปแบบประกันชีวิต เป็นต้น
ที่มา มติชนออนไลน์
นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเอแบคนวัตกรรมทางสังคม การจัดการและธุรกิจ มหาวิทยาลัย อัสสัมชัญ (เอแบคโพล) เปิดเผยเมื่อวันที่ 19 ม.ค.ถึงผลสำรวจพฤติกรรมการติดตามข่าวสารของคนมีเงินชนรุ่นใหม่ (นิวเจน) กับการวางแผนชีวิตและการเงินในสภาวะเศรษฐกิจถดถอยยุควิกฤติแฮมเบอเกอร์ กรณีศึกษาตัวอย่างผู้มีรายได้ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อายุระหว่าง 30 -49 ปี จำนวนทั้งสิ้น 447 ราย ระหว่างวันที่ 1 ธ.ค. 2551 -18 ม.ค. 2552
ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 67.6 จัดสรรรายได้ไว้บางส่วนเพื่อการออมและการลงทุน ร้อยละ 17.7 จัดสรรรายได้บางส่วนไว้เพื่อการออมเพียงอย่างเดียว และร้อยละ 6.3 จัดสรรรายได้ไว้เพื่อการลงทุนเพียงอย่างเดียว ร้อยละ 8.4 ใช้จ่ายโดยไม่มีเงินเดือนเหลือเก็บออม เมื่อสอบถามถึงแนวทางปฏิบัติ เมื่อต้องการตัดสินใจใช้เงิน ร้อยละ 80.8 จะเห็น ความจำเป็น และ ประโยชน์ ก่อนจึงตัดสินใจใช้เงิน เมื่อสอบถามถึงสัดส่วนของรายรับและรายจ่ายในแต่ละเดือน พบว่าร้อยละ 70.8 ระบุมีรายจ่ายน้อยกว่ารายรับ ร้อยละ 16.3 รายจ่ายเท่ากับรายรับ และร้อยละ 12.9 รายจ่ายมากกว่ารายรับ
นายนพดล กล่าวต่อว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ร้อยละ 65.5 ระบุว่า สถานการณ์การเมืองภายในประเทศ เป็นปัจจัยที่ส่งผลทำให้กังวลต่อฐานะทางการเงิน ร้อยละ 64.6 ระบุเป็นสภาวะเศรษฐกิจโลก ร้อยละ 39.9 ระบุเป็นราคา สินค้าอุปโภค บริโภค ร้อยละ 37.8 ระบุหน้าที่การงานไม่แน่นอน ร้อยละ 37.2 ระบุราคาน้ำมัน ร้อยละ 32.0 ระบุอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างเกินกว่าครึ่งหรือร้อยละ 53.4 ระบุระยะเวลาของเงินสดที่เก็บสำรองไว้จะหมดไป ในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี หากเกิดเหตุฉุกเฉินไม่คาดฝันขึ้น เช่น ตกงาน เจ็บป่วย คนในครอบครัวเสียชีวิต เป็นต้น
ผลสำรวจพบว่า กลุ่มตัวอย่างคนรุ่นใหม่ที่มีรายได้สูงเหล่านี้เกินครึ่งหรือร้อยละ 52.5 สนใจต่อรูปแบบการวางแผนทางการเงินด้วยการออมเงินฝากกับธนาคาร รองลงมาคือร้อยละ 45.5 วางแผนทางการเงิน เพื่อการศึกษาของบุตร ร้อยละ 41.3 วางแผนการเงินเพื่อวัยเกษียณ ร้อยละ 34.0 วางแผนการเงินในรูปแบบประกันชีวิต เป็นต้น
ที่มา มติชนออนไลน์


<< Home