Wednesday, April 29, 2009

Ben’s Socks ถุงเท้าจากวิกฤต ธุรกิจคนตกงานไร้เงินเดือนหลักแสน

Ben’s Socks ถุงเท้าจากวิกฤต ธุรกิจคนตกงานไร้เงินเดือนหลักแสน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 เมษายน 2552 08:39 น.



นายบรรจบ เพียรพาณิชย์พร หรือนายเบน


แม้จะเป็นเพียงธุรกิจผลิตถุงเท้า ที่หลายคนมองข้ามว่าเป็นเพียงสินค้าธรรมดา ไม่มีอะไรที่แปลกใหม่ แต่ใครจะรู้บ้างว่าเบื้องหลังของผู้ประกอบการไทย ผู้ผลิตถุงเท้าคุณภาพเพื่อคนไทยนั้น ต้องปิดตัวลงไปหลายราย หลังจากถูกสินค้านำเข้าจากประเทศจีนเข้าแทรกแซง แต่ใครจะรู้บ้างว่าในเมืองไทยยังมีเจ้าของโรงงานผลิตถุงเท้า เน้นคุณภาพเพื่อคนไทย และมีความตั้งใจจริงที่พยายามประคับประคองธุรกิจมาจนถึงวันนี้ แม้ว่าจะต้องฟันฟ่ากระแสคลื่นสินค้าราคาถูกจากประเทศจีนก็ตาม




นายเบน และภรรยา ผู้ออกแบบลวดลายถุงเท้าประเภทแฟชั่น


อาจจะกล่าวได้ว่าสิ่งที่ทำให้ถุงเท้าสัญชาติไทยแท้ๆ อย่าง Ben’s Socks ที่สามารถครองตลาดมานานเกือบ 10 ปี ยืนหยัดอยู่ได้คงเป็นเพราะการใช้หัวใจแกร่ง ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เมื่อครั้งประเทศไทยเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 แต่กลับใช้สติ ความอดทน และทำทุกวิถีทางเพื่อหารายได้มาหล่อเลี้ยงครอบครัว ให้กับภรรยา และลูกสาวทั้ง 2 คนที่ ณ ขณะนั้นลูกสาวคนเล็กเพิ่งลืมตามาดูโลกได้เพียง 4 เดือน





นายบรรจบ เพียรพาณิชย์พร หรือ เบน เจ้าของโรงงานผลิตถุงเท้าคุณภาพแบรนด์ Ben’s Socks หรือที่หลายคนรู้จักกันดีในชื่อ “ร้านถุงเท้านายเบน” ที่อัตชีวประวัติมีความน่าสนใจ ไม่แพ้การดำเนินธุรกิจผลิตถุงเท้า จนก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์อันดับต้นๆ ที่คนไทยรู้จัก และอุดหนุนสินค้าของนายเบนมายาวนาน





เส้นทางดำเนินธุรกิจไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ถือเป็นคำกล่าวที่ไม่ผิดเลย สำหรับธุรกิจถุงเท้านายเบน จากหนุ่มวิศวกรรับเงินเดือนหลักแสน ต้องกลายมาเป็นคนตกงานจากวิกฤตปี 40 ที่แม้นายจ้างจะเมตตาให้โอกาสไปทำงานบริษัทในเครือที่ประเทศจีน แต่ก็ต้องปฏิเสธไปด้วยความเป็นห่วงภรรยา และลูกสาวที่ยังเล็กอีก 2 คน ดังนั้นการหางานทำในเมืองไทยน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด แม้จะไม่ได้เงินเดือนเท่ากับเมื่อครั้งอดีตก็ตาม โดยเปรียบชีวิตของตนเองในช่วงนั้นเป็นเสมือนเรือไททานิก ที่กำลังจม แต่ในเมืองไทยน้ำไม่เย็นขนาดนั้น มีความอุดมสมบูรณ์กว่า ดังนั้นหากไม่งอมืองอเท้า ก็น่าจะประคับประคองให้ครอบครัวอยู่รอดต่อไปได้






ดังนั้นหลังจากตกงานนายเบนได้ปรับเปลี่ยนแผนงานที่ต้องทำแต่ละวัน มาแปลงเป็นแผนงานด้านการเงินของครอบครัว ซึ่งเมื่อคำนวณอย่างละเอียดแล้ว ปรากฏว่านายเบนต้องหาเงินให้ได้อย่างน้อยวันละ 500 บาท จึงจะเพียงพอต่อรายจ่ายของครอบครัว ซึ่งในช่วงแรกนายเบนไม่คิดที่จะเป็นเจ้าของธุรกิจ หรือคิดจะขายของ คิดแต่เพียงว่าตนเองจะไปสมัครงานในบริษัทต่างๆ ที่ยังไม่ล้ม แต่ด้วยคำถามของเตี่ย (พ่อ) ที่ว่าในโลกเรามีกี่อาชีพ ซึ่งคำตอบที่ได้มีเพียง 2 อาชีพเท่านั้น คือ อาชีพรับจ้าง ที่ถึงแม้เราจะทุ่มเททำงานมากแค่ไหน สุดท้ายหากบริษัทล้มเราก็ต้องตกงานไปด้วย ส่วนอีกหนึ่งอาชีพคือการเป็นนายตัวเอง หรือเจ้าของธุรกิจ นั่นเอง ซึ่งทำให้นายเบนตัดสินใจเริ่มจากการค้าขายของใกล้ตัว เพื่อค้นหาสินค้าที่คิดว่าเหมาะกับตนเองที่สุด





และสนามทดสอบความแข็งแกร่งของนายเบนคือตลาดนัดคนเคยรวย บริเวณลานจอดรถห้างซีคอนสแควร์ ที่นายเบนนำของรักออกมาขาย อย่าง ชุดสูท นาฬิกา เนคไท เสื้อผ้าแบรนด์เนม รองเท้า หรือแม้กระทั่งตำราเรียนด้านวิศวกรรมศาสตร์ต่างประเทศ (Text Book) ก็ไม่ได้รับการยกเว้นก็ต้องถูกนำไปขายให้กับเหล่านักศึกษาในราคาถูกเช่นเดียวกัน ซึ่งสินค้าขายดีมากวันแรกมีเงินกลับบ้านถึง 4,000 บาท แต่นับวันข้าวของในบ้านก็เริ่มลดน้อยลง ทำให้นายเบนนำเสื้อผ้าของญาติมาจำหน่าย รวมถึงถุงเท้าของน้องชาย ที่มีเครื่องจักรผลิตถุงเท้านักเรียนมาจำหน่ายด้วย พร้อมกับการผสมผสานกลยุทธ์ทางการตลาดที่เน้นการเปลี่ยนทำเลตลาดนัดไปเรื่อยๆ โดยทำการจดสถิติตลาดนัดที่ขายดีไว้ด้วย เพื่อสุดท้ายแล้วจะได้เลือกตลาดนัดในแต่ละวันที่นำสินค้าไปขายได้อย่างถูกต้อง และไม่น่าเชื่อว่าภายในระยะเวลาเพียง 3 ปี นายเบนมีรายละเอียดตลาดนัดในกรุงเทพฯ กว่า 50 แห่ง สุดท้ายหันมาเปิดหน้าร้านเป็นของตัวเองย่านโบ๊เบ๊ โดยมีทั้งสินค้าของเครือญาติที่ผลิตเอง และสินค้าที่รับมาจำหน่ายต่อด้วย แต่ไปๆ มาๆ สินค้าของครอบครัวกลับขายดีกว่า ด้วยคุณภาพสินค้า ทำให้นายเบนต้องตัดสินใจครั้งใหญ่อีกครั้ง



สินค้าเตรียมจัดส่งให้ลูกค้า และลูกค้ากำลังเลือกซื้อถุงเท้าไปจำหน่ายต่อ


อาชีพการรับสินค้ามาจำหน่ายต่อเพื่อกินเปอร์เซ็นต์ อย่างเสื้อผ้าและถุงเท้า ในท้ายที่สุดแล้ว ก็หนีไม่พ้นอาชีพรับจ้าง ทำให้นายเบนตัดสินสินใจเดินทางเข้าสู่อาชีพการเป็นนายตัวเอง ด้วยการเปิดโรงงานผลิตถุงเท้าหลังจากที่ผ่านมาได้เข้าไปคลุกคลีกับโรงงานของน้องชายที่มีเครื่องจักรผลิตถุงเท้านักเรียนสีขาวอย่างเดียว ซึ่งเริ่มไม่ทันสมัยไม่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบถุงเท้าลวดลายใหม่ๆ ได้



ถุงเท้าสำหรับนักกีฬา


“ผมได้สั่งนำเข้าเครื่องจักรผลิตถุงเท้าเองทั้งหมด โดยในช่วงแรกยังไม่มีแบรนด์ แต่เพื่อการสร้างความจดจำในสินค้า จึงกลายมาเป็นโลโก้ Ben’s Socks ที่เน้นการเลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ ทำจากเส้นด้ายสปันผสมคอตตอน และอะครีลิก ซึ่งสูตรดังกล่าวตนคิดค้นขึ้นเอง ที่นอกจากมีความทนทาน นุ่ม สวมใส่สบายแล้ว ยังมีความยืดหยุ่นสูงอีกด้วย ทำให้ถุงเท้านายเบนได้รับการตอบรับจากลูกค้าในเวลาอันรวดเร็ว"




ถุงเท้านักเรียน สินค้าที่ขาดไม่ได้


ปัจจุบันหน้าร้านที่โบ๊เบ๊ทาวเวอร์ตั้งยู่ที่ชั้น 5 ตึกเก่า ระหว่างโซน 3 กับโซน 4 ที่นายเบนออกแบบชั้นวางกล่องถุงเท้าให้พอดีกับพื้นที่ เพื่อการใช้พื้นที่ให้คุ้มค่าที่สุด รวมถึงการจัดระเบียบภายในร้านให้ลูกค้าสามารถเดินเลือกซื้อ สินค้าได้รอบ เหมือน ‘Socks Supermarket’ ในขณะที่ประเภทสินค้าถุงเท้าของนายเบน เรียกได้ว่าครบวงจร ทั้งถุงเท้าแฟชั่นที่ขายดีที่สุด โดยลวดลายภรรยา เป็นผู้ออกแบบเองทั้งหมดกว่า 500 แบบ, ถุงเท้านักเรียน, ถุงเท้ากีฬา, ถุงเท้าเด็ก หรือแม้กระทั่งถุงเท้าลิเก และถุงเท้าลูกเสือที่มีขนาดของนักเรียนไปจนถึงขนาดผู้ใหญ่ สำหรับครูผู้สอนด้วย

สำหรับแผนธุรกิจในอนาคต นายเบน ตั้งเป้าให้ Ben’s Socks เป็นแบรนด์ถุงเท้าเบอร์หนึ่งของไทย ที่เจ้าของธุรกิจตั้งใจให้คนไทยได้ใช้สินค้าที่ดีมีคุณภาพ แทนการนำเข้าสินค้าด้อยคุณภาพจากต่างประเทศ

***สนใจติดต่อ 0-2628-1999 ต่อ 1532, 0-2628-0966 หรือที่ www.ben-socks.com***

Labels:

เพลง Sex On Fire - Kings Of Leon






ต้องการเพลงใหม่ๆ ใช่มั้ย คลิกที่นี่


เนื้อเพลง Sex On Fire - Kings Of Leon

ยังไม่มีนะครับ ถ้าเพื่อนๆคนไหนมีเนื้อเพลงก็โพสต์มาได้ที่คอมเม้นท์นะครับ

ดาวน์โหลดเพลง, โหลดเพลง Sex On Fire mp3, Kings Of Leon mp3 คลิกที่นี่

โค๊ดเพลง แชร์เพลงนี้ลง Blog หรือ Hi5 ,code เพลง, โค๊ดเพลงลงhi5, โค้ดเพลงลงhi5, ijigg, imeem

Labels:

ครอบแก้วพระธาตุ สินค้าขายดี

ครอบแก้ว ศิลปะเชิงพาณิชย์รองรับตลาดพุทธศาสนิกชน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 เมษายน 2552 09:52 น.



ครอบแก้วพระธาตุ สินค้าขายดี


ศิลปวัฒนธรรมไทยที่อ่อนช้อย และงดงาม ได้มีการถูกนำมาสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยฝีมือยอดเยี่ยมของช่างไทย การนำศิลปวัฒนธรรมไทยมาต่อยอดในเชิงพาณิชย์ เกิดเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศจำนวนมากให้กับผู้ประกอบการ เช่นเดียวกับผลงานครอบแก้ว และงานเครื่องปั้นดินเผา ของ “นายอภิชัย สินธุ์พูล”

นายอภิชัย เล่าว่า ได้เรียนด้านงานปั้น จากวิทยาลัยแห่งหนึ่ง โดยปัจจุบันเป็นอาจารย์สอนด้านงานปั้น อยู่ที่วิทยาลัยในวังชาย ในพระบรมมหาราชวัง และเนื่องจากต้องการช่วยเหลือลูกศิษย์ให้มีรายได้บ้าง จึงได้หันมาทำงานปั้นออกจำหน่าย โดยเปิดร้านอยู่ที่ตลาดสนามหลวง 2 สินค้าเป็นงานปั้น งานหล่อ ที่เป็นงานชิ้นเล็ก โดยชิ้นงานล่าสุดประกอบด้วย ครอบแก้ว เชิงเทียน งานปั้นรูปช้าง งานปั้นพระพุทธรูปลงสี และงานปั้นรูปเหมือนพ่อแก่ ฯ



งานปั้นรูปเหมือนพ่อแก่


นอกจากนี้ ภายในร้านยังมีผลิตภัณฑ์ชุดตุ๊กตาและเครื่องประดับ ของบาร์บี้ที่เป็นชุดไทยวางจำหน่ายอยู่ด้วย ซึ่งงานชุดตุ๊กตาบาร์บี้ นั้น เป็นงานชิ้นแรกที่คุณอภิชัย ทำขายอย่างจริงจัง โดยได้ออร์เดอร์จากลูกค้าประเทศไต้หวัน และเนื่องจากเป็นชุดไทย ทำให้ได้เผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมเครื่องแต่งกายไทยออกไปทั่วโลก และเป็นความภูมิใจของเราได้เห็นผลงานการตัดเย็บชุดตุ๊กตาในชุดไทยได้ขึ้นปกนิตยสารในประเทศสหรัฐอเมริกาด้วย

“ในระยะหลังๆ ผมไม่ได้ทำงานตัดชุดตุ๊กตา เพราะลูกค้าไต้หวันมีการกดราคา ก็เลยไม่ได้ทำส่งให้อีก ซึ่งชุดที่เราตัดเป็นงานฝีมือทุกชิ้น และต้องอาศัยช่างที่มีฝีมือจริงๆในการทำเครื่องทรง หรือ เครื่องประดับชุดไทย ถ้าต้องขายในราคาที่ถูกเหมือนกับการตัดเย็บผ้าโหลก็คงจะทำไม่ได้ เพราะทำไปก็ไม่คุ้มกับค่าแรงและค่าเสียเวลา จึงเลิกทำมีทำออกมาวางโชว์หน้าร้านบ้าง แต่ไม่ได้ตั้งใจขาย โดยเราตั้งราคาไว้ค่อนข้างสูงมาก เพราะคนไม่รักหรือชอบจริงก็คงจะไม่ซื้อ”



นายอภิชัย สินธุ์พูล


สำหรับสินค้าหลักของทางร้านในตอนนี้ ก็คงจะเป็นครอบแก้ว และเชิงเทียน ลวดลายไทยโบราณ ที่ทำงานชิ้นนี้ออกมาขาย เพราะเห็นว่าเมืองไทยเป็นเมืองพระพุทธศาสนา สินค้าประเภทนี้น่าจะทำออกมาขายได้ โดยในตอนแรกทำเชิงเทียนออกมาขายก่อน เป็นงานหล่อเรซิน แต่ต่อมาในระยะหลังการบูชาพระธาตุได้รับความสนใจมากขึ้น จึงได้ทำครอบแก้วที่ใช้สำหรับครอบพระธาตุออกมาขาย ซึ่งผลตอบรับออกมาค่อนข้างดี เพราะยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน และตั้งราคาไม่สูงมาก ซึ่งที่ครอบพระธาตุนั้น เป็นงานหล่อ ทำให้ผลิตจำนวนมากได้

ในส่วนของงานปั้นไม่ได้รับการตอบรับเท่ากับงานครอบแก้ว หรือ เชิงเทียน เพราะไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้ แต่เป็นงานที่เราถนัด และลูกศิษย์เรียนงานปั้น จึงได้มีการทำออกมาจำหน่ายควบคู่ไปด้วย โดยดูความต้องการของตลาดเป็นหลัก เช่น งานปั้นรูปเหมือนพ่อแก่ ที่ทำงานตัวนี้ออกมาเพราะเห็นว่า รูปแบบของเราไม่เหมือนใคร และมีความสวยงาม น่าจะขายได้ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร



งานปั้นช้างของที่ระลึกนักท่องเที่ยวต่างชาติ


โดยใช้ช่องทางการขายหลักมี 2 ทาง คือ การวางขายหน้าร้านและการออกงานแสดงสินค้า เพราะได้ขึ้นทะเบียนเป็นสินค้าโอทอปของจังหวัดนครปฐม และได้รับการคัดสรรเป็นผลิตภัณฑ์โอทอป 3 ดาว ซึ่งสินค้าที่ได้รับการคัดสรร คือ ชุดเครื่องทรงตุ๊กตาบาร์บี้ ทำให้มีโอกาสนำสินค้าไปวางขายในงานแสดงสินค้าโอทอประดับประเทศได้

“สาเหตุที่ผมไม่ทำส่งขายให้กับพ่อค้าคนกลาง เพราะเกรงว่า พ่อค้าคนกลางจะไปตั้งราคาสูงเกินไป เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค โดยต้องการให้ผู้บริโภคได้ใช้สินค้าในราคาที่เหมาะสมกับตัวสินค้า และปัจจุบันรายได้จากการเปิดร้านขายที่ตลาดสนามหลวง ไม่ได้สูงมากนัก เพราะมีเวลาเปิดร้านขายแค่ 2 วัน เสาร์ – อาทิตย์ แต่เนื่องจากค่าเช่าร้านไม่แพง เพียงเดือนละไม่เกิน 2,000 บาท รวมค่าน้ำค่าไฟ รายได้ส่วนหนึ่ง เป็นแบ่งให้ลูกศิษย์ ซึ่งมาช่วยขายและทำงานตรงนี้ ที่เหลือเป็นรายได้ ”



ครอบแก้วรูปแบบใส่เทียนหอม


สำหรับรายได้ตรงจุดนี้ไม่สูงมากนัก ซึ่งตนเองก็ไม่ได้คาดหวังรายได้ตรงนี้ เพราะมีงานประจำ และมีรายได้จากงานอื่นๆ ที่เข้ามาอีก แต่ที่เลือกทำงานตรงนี้ เพราะเห็นว่า เป็นอีกทางหนึ่งในการสืบทอดอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย และพระพุทธศาสนา พอทำไปแล้วก็มีความสุขและสบายใจ และยังได้ช่วยลูกศิษย์มีรายได้ระหว่างเรียนด้วย และที่สำคัญการได้ทำงานศิลปะขาย ทำให้เราได้ประสบการณ์ จริง และนำมาสอนให้ลูกศิษย์ได้



งานปั้นพระพุทธรูปลงสี


ในปัจจุบันการเรียนในสาขาของงานศิลปะอย่างเดียว โดยที่ไม่รู้จักคิดดัดแปลงเพื่อให้สามารถทำเชิงการค้าได้ โอกาสที่ประสบความสำเร็จในวิชาชีพได้ยาก และสิ่งสำคัญการที่จะทำงานศิลปะออกมาขายสักชิ้น ต้องคำนึงถึงความต้องการความชอบและประโยชน์ใช้สอย บวกกับความสวยงาม เพราะถ้าทำชิ้นงานออกขาย โดยไม่มีความต้องการของตลาดหรือประโยชน์ใช้สอย แม้จะฝีมือดีแค่ไหนโอกาสที่ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อค่อนข้างยาก และต้องรู้จักดัดแปลงเพื่อให้ได้ต้นทุนทั้งวัตถุดิบและค่าแรงที่ต่ำที่สุด เพื่อจะได้ตั้งราคาในระดับลูกค้าทุกกลุ่มสามารถซื้อได้

โทร.08-9210-9331

Labels:

เพลง นักร้องคนจน - ไชยา มิตรชัย

เนื้อเพลง นักร้องคนจน - ไชยา มิตรชัย
ยังไม่มีนะครับ ถ้าเพื่อนๆคนไหนมีเนื้อเพลงก็โพสต์มาได้ที่คอมเม้นท์นะครับ
ดาวน์โหลดเพลง, โหลดเพลง นักร้องคนจน mp3, ไชยา มิตรชัย mp3 คลิกที่นี่
โค๊ดเพลง แชร์เพลงนี้ลง Blog หรือ Hi5 ,code เพลง, โค๊ดเพลงลงhi5, โค้ดเพลงลงhi5, ijigg, imeem






ต้องการเพลงใหม่ๆ ใช่มั้ย คลิกที่นี่

เพลง หลอกฉันว่าเข้านอนแล้ว ฟังเพลง หลอกฉันว่าเข้านอนแล้ว - วฤตดา ภิรมย์ภักดี โหลดเพลง mv

Written by Bigbang on เมษายน 29th, 2009
Tagged with , , , , , , , , , , , , , , , ,

เพลง หลอกฉันว่าเข้านอนแล้ว ฟังเพลง หลอกฉันว่าเข้านอนแล้ว - วฤตดา ภิรมย์ภักดี โหลดเพลง mv

บอร์ดเอสเอ็มอี แบงก์ เห็นชอบตั้งรองกก.ผจก.2ตำแหน่ง

บอร์ดเอสเอ็มอี แบงก์ เห็นชอบตั้งรองกก.ผจก.2ตำแหน่ง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
29 เมษายน 2552 11:04 น.

นายสุรชัย กำพลานนท์วัฒน์
เอสเอ็มอี แบงก์ ประกาศแต่งตั้ง รองกรรมการผู้จัดการ 2 ตำแหน่ง คือ นายสุรชัย กำพลานนท์วัฒน์ รับผิดชอบสายงานสาขาและพัฒนาผู้ประกอบการ และ นายวัลลภ เตชะไพบูลย์ รับผิดชอบสายงานสินเชื่อธนาคาร ตามมติการประชุมบอร์ดสัญจรที่ผ่านมา นายวิชญะ วิถีธรรม โฆษกคณะกรรมการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอี แบงก์) เปิดเผยว่า การประชุมบอร์ดสัญจรธนาคาร จังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2552 ที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นการประชุมครั้งที่ 6 /2552 โดยการประชุมบอร์ดสัญจรครั้งนี้คณะกรรมการธนาคารมีมติประกาศแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงธนาคาร ตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการจำนวน 2 ท่าน ประกอบด้วย นายสุรชัย กำพลานนท์วัฒน์ ตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ระดับ 11 ดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการ ระดับ 12 รับผิดชอบสายงานสาขาและพัฒนาผู้ประกอบการ

นายวัลลภ เตชะไพบูลย์
นายวัลลภ เตชะไพบูลย์ ตำแหน่งผู้ชำนาญการ ระดับ 11 ดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการ ระดับ 12 รับผิดชอบสายงานสินเชื่อธนาคาร มีผลตั้งแต่วันที่ 27 เมษายน 2552 เป็นต้นไป ทั้งนี้การประกาศแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง ตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการเป็นการแต่งตั้งผู้บริหารที่ทำหน้าที่ดูแลและรับผิดชอบด้านนโยบายสินเชื่อทั้งในสาขาทั่วประเทศและสำนักงานใหญ่ และการพัฒนาผู้ประกอบการ ซึ่งจะเป็นการปรับเพื่อสอดรับกับนโยบายการทำงานการตลาดสินเชื่อเชิงรุกของธนาคารในการช่วยเหลือผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินไปพร้อม ๆ กับการพัฒนาผู้ประกอบการตามบทบาทภารกิจหลักของธนาคาร

Labels:

Saturday, April 25, 2009

ดูคลิปวีดีโอสนุก

http://video.sanook.com/vdo_clip.php?mode=rec

คลิปวิดีโอสนุก

เรื่อง: ตีสิบ กลยุทธ์ทวงคืนสามี Part 1
ชื่อเจ้าของ: BaBeBurin
ข้อความแนะนำ: ตีสิบ กลยุทธ์ทวงคืนสามี
Tag: ตีสิบ,ตี10,กลยุทธ์ทวง...
หมวด: ทั่วไป
จำนวนครั้งที่ชม: 46,743

Labels:

ภาพดารานางแบบ

http://campus.sanook.com/teen_zone/wallpaper_05281.php

ดูภาพสวย ๆ ที่สนุกดอทคอม

Labels:

Tuesday, April 21, 2009

เพลง ไม่ใช่ที่ชาร์จแบต ฟังเพลง ไม่ใช่ที่ชาร์จแบต - เอิร์น สุรัตน์ติกานต์ โหลดเพลง ไม่ใช่ที่ชาร์จแบต mv ไม่ใช่ที่ชาร์จแบต




ต้องการเพลงใหม่ๆ ใช่มั้ย คลิกที่นี่

เพลง ไม่ใช่ที่ชาร์จแบต ฟังเพลง ไม่ใช่ที่ชาร์จแบต - เอิร์น สุรัตน์ติกานต์ โหลดเพลง ไม่ใช่ที่ชาร์จแบต mv ไม่ใช่ที่ชาร์จแบต



ฟังเพลง ไม่ใช่ที่ชาร์จแบต, ฟังเพลงไม่ใช่ที่ชาร์จแบต, เนื้อเพลง ไม่ใช่ที่ชาร์จแบต, เนื้อเพลงไม่ใช่ที่ชาร์จแบต, เพลง ไม่ใช่ที่ชาร์จแบต, เพลงไม่ใช่ที่ชาร์จแบต, เอิร์น, เอิร์น สุรัตน์ติกานต์, โค้ดเพลง ไม่ใช่ที่ชาร์จแบต, โค้ดเพลงไม่ใช่ที่ชาร์จแบต, โค๊ดเพลง ไม่ใช่ที่ชาร์จแบต, โค๊ดเพลงไม่ใช่ที่ชาร์จแบต, โหลดเพลง ไม่ใช่ที่ชาร์จแบต, โหลดเพลงไม่ใช่ที่ชาร์จแบต, ไม่ใช่ที่ชาร์จแบต, ไม่ใช่ที่ชาร์จแบต mp3, ไม่ใช่ที่ชาร์จแบต เอิร์น สุรัตน์ติกานต์

Labels:

เนื้อเพลง 10 Things - เจี๊ยบ วรรธนา

Wednesday, April 15, 2009

จับเข่าหัวเรือใหม่ SME bank ภารกิจกู้วิกฤตเอสเอ็มอีบนเก้าอี้ร้อน

จับเข่าหัวเรือใหม่ SME bank ภารกิจกู้วิกฤตเอสเอ็มอีบนเก้าอี้ร้อน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
15 เมษายน 2552 09:02 น.
ชื่อ “โสฬส สาครวิศว” เริ่มเป็นที่คุ้นหูของคนทั่วไปมากยิ่งขึ้น หลังได้รับคัดเลือกนั่งแท่นหัวเรือใหญ่คนใหม่ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี่เอง ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ ปัญหาสำคัญเวลานี้ของเอสเอ็มอีไทย คือ เข้าถึงแหล่งทุนยากมาก ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐเพื่อผู้ประกอบการไทย เอสเอ็มอีแบงก์จำเป็นต้องหัวหอกที่จะสนับสนุนสินเชื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการให้รอดจากวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้ อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านธนาคารแห่งนี้ ยังถูกตั้งข้อสงสัยทั้งความโปร่งใสในโครงการต่างๆ รวมถึง ประสิทธิภาพการทำงาน โยงไปถึงถูกใช้เป็นเครื่องมือของคนการเมือง ดังนั้น เมื่อมารับตำแหน่งใหม่ยามนี้ ภารกิจจึงเปรียบเหมือนรับเผือกร้อน ท้าท้ายกรรมการผู้จัดการคนใหม่ ให้ต้องพิสูจน์ว่า ธนาคารแห่งนี้ ยังสามารถเป็นความหวังแก่เอสเอ็มอีไทยอย่างแท้จริงได้หรือไม่

โสฬส สาครวิศว กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย
- คุณโสฬส คิดว่าเหตุใด จึงได้รับเลือกเป็นเอ็มดีของเอสเอ็มอีแบงก์ สิ่งแรกผมเป็นผู้สมัครคนเดียวที่ผ่านประสบการณ์งานธนาคารพาณิชย์มากว่า 30 ปี ทั้งด้านบริหารเงิน และสินเชื่อ และนโยบายผลักดันสินเชื่อของผม จะกอบกู้เศรษฐกิจ และทำให้เอสเอ็มอีแบงก์ เป็นธนาคารเพื่อพัฒนาเอสเอ็มอีอย่างจริงจัง - นโยบายที่กล่าวมา ก็ไม่ได้แตกต่างจากเอ็มดีคนก่อนๆ เลย แต่ครั้งนี้ จะทำให้เป็นรูปธรรมจริงๆ คือ ปีนี้ (2552) เราใช้นโยบายพัฒนาควบคู่กับการให้เงินทุน ในอดีตที่ผ่านมา ผู้ประกอบการที่มาขอเงินสินเชื่อ ถ้าไม่เข้าเกณฑ์ เราก็ปฏิเสธไป เขาก็ต้องกลับปรับแผน สักพักกลับมากู้ใหม่ ก็ถูกปฏิเสธอีก เพราะฉะนั้นเขาจึงว้าเหว่ ไม่รู้ว่า เพราะอะไรถึงไม่ได้เงินกู้ เพราะฉะนั้น ลูกค้ารายใดที่ถูกปฏิเสธมากๆ ก็จะรู้สึกว่า ตัวเองไม่มีเส้นหรือไง ถึงกู้เอสเอ็มอีแบงก์ไม่ได้ แต่ปัจจุบัน ถ้าลูกค้าเดินมาขอกู้ ถ้าไม่เข้าเกณฑ์ เราก็จะส่งเข้าโครงการพัฒนาผู้ประกอบการเลย วิธีนี้เราไม่ปฏิเสธลูกค้า โดยให้ทีมงานเข้าไปช่วยดู ก็จะช่วยลูกค้า บางรายอาจใช้เวลาพัฒนา 1 เดือน 2 เดือน หรือ 3 เดือนก็ตามแต่ เมื่อพัฒนาเสร็จ ให้เขามาขอกู้ใหม่ ก็จะกู้ได้ ตรงนี้ จะทำให้เราได้ลูกค้าเพิ่มขึ้น อีกทั้ง ช่วยให้ลูกค้าพัฒนาระยะยาว เพราะลูกค้าจะได้รู้จุดเด่นจุดด้อยของตัวเอง มันจะทำให้เขาสามารถพัฒนาตัวเองได้ในระยะยาว - ส่วนหนึ่งที่ผู้ประกอบการไม่อยากหาเอสเอ็มอีแบงก์ เพราะเงื่อนไขยุ่งยาก และดอกเบี้ยสูงกว่าแบงก์พาณิชย์ ในความเป็นจริง ทุกวันนี้ ของเราก็ไม่ได้สูงกว่าแบงก์พาณิชย์ เพราะ MLR ของเรา ก็เท่ากับ MRR ของแบงก์พาณิชย์ ซึ่งส่วนใหญ่แบงก์พาณิชย์ก็จะปล่อยกู้ลูกค้าเอสเอ็มอีก็จะใช้ MRR ส่วนเงื่อนไขต่างๆ เราพยายามปรับไปพร้อมๆ กัน 1. ปรับธุรกิจ ตอนนี้ขอบเขตกระบวนการภายใน เราพยายามพัฒนาระบบให้เหมือนธนาคารพาณิชย์ 2.จัดโครงสร้างธุรกิจใหม่ ให้หมวดธุรกิจในแต่ละคนอยู่ในสายเดียวกัน และมีคนดูแลในสายงานนั้นๆ ไม่ไขว้กัน เพราะที่ผ่านมา มันไขว้กัน และ 3. กระตุ้นการทำงาน โดยขยายขอบเขตการทำงานให้พนักงาน สามารถตัดสินใจ และมีอำนาจในหน้าที่มากยิ่งขึ้น ที่ผ่านมา เราทำงานในเชิงรับ รอลูกค้าเดินมาหา แต่ปีนี้ เราให้เจ้าหน้าที่วิ่งหาลูกค้า ถ้าใครทำได้เราก็จะมีรางวัลให้ตามความเหมาะสม - ที่ผ่านมา คนทั่วไปจะรู้สึกว่า การทำงานของเอสเอ็มอีแบงก์ผูกติดกับการเมืองค่อนข้างสูง ผมพูดในความเป็นจริง ยอมรับว่า สำหรับรัฐบาลชุดนี้ดี (หยุดคิดชั่วขณะ) ไม่มีปัญหาเรื่องการแทรกแซง ทุกอย่างทำตามเกณฑ์ - ยืนยันว่า ลูกค้าฝากจากนักการเมืองไม่สามารถกู้เงินเอสเอ็มอีแบงก์ได้ ถ้าไม่เข้าเกณฑ์ ก็ไม่สามารถกู้ได้

“ผมอยากให้แยกจากกันว่า เอสเอ็มอีแบงก์ คือ สถาบัน อย่างไรเสีย มันก็ต้องอยู่ต่อไป ทำหน้าที่ช่วยผู้ประกอบการต่อไป แต่เรื่องของบุคคล ก็เป็นเรื่องของบุคคล ความไม่ชอบมาพากลต่างๆ เป็นเรื่องของบุคคลที่ต้องแก้ไขไป ซึ่งบุคคลเหล่านี้ ผมเชื่อว่า ปัจจุบันไม่มีใครอยู่แล้ว”
- ปัญหาทุจริตต่างๆ ที่ผ่านมา จะแก้อย่างไร เราก็แก้ไปค่อนข้างเยอะ และโดยพื้นฐานของพนักงานที่นี่ซื่อสัตย์ แต่ที่ผ่านมา มันจะมีคำสั่งนอกเหนือออกไป เพราะฉะนั้น นโยบายจากนี้ ต้องโปร่งใส ส่วนปัญหาที่แล้วๆ มา ก็ต้องพยายามแก้กันไป คิดว่า คงไม่ยากเกินไป ถ้าอะไรพอจะบรรเทาปัญหาได้ ก็บรรเทาไป ถึงแม้ที่ผ่านมา เบื้องหลังมันจะมีปัญหาต่างๆ แต่ผมอยากให้แยกจากกันว่า เอสเอ็มอีแบงก์ คือ สถาบัน อย่างไรเสีย มันก็ต้องอยู่ต่อไป ทำหน้าที่ช่วยผู้ประกอบการต่อไป แต่เรื่องของบุคคล ก็เป็นเรื่องของบุคคล ความไม่ชอบมาพากลต่างๆ เป็นเรื่องของบุคคลที่ต้องแก้ไขไป ซึ่งบุคคลเหล่านี้ ผมเชื่อว่า ปัจจุบันไม่มีใครอยู่แล้ว - แล้วจะมั่นใจในตัวคุณโสฬสได้อย่างไรว่า ไม่ได้มาด้วยอำนาจการเมืองหนุน ผมเข้ามาโดยไม่ได้อยู่สายใคร และผ่านกระบวนการคัดเลือกโดยถูกต้อง สุดท้ายให้ผลงานเป็นตัวพิสูจน์ - เป้าในการปล่อยสินเชื่อ และแก้ปัญหา NPL วางไว้อย่างไร ในปีนี้ ตั้งเป้าให้ปล่อยกู้สินเชื่อได้กว่า 26,000 ล้านบาท ซึ่งยอด 3 เดือนนับจากต้นปี ปล่อยไปแล้ว ประมาณ 3 พันล้าน โดยแผนการตลาด เน้นเชิงรุกวิ่งเข้าหาลูกค้า และวงเงินปล่อยกู้ได้ถึง 200 ล้านบาทต่อราย ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามเป้า คาดว่าปีนี้จะมีกำไรบ้าง ประมาณ 100-300 ล้านบาท ส่วน NPL ปัจจุบัน ประมาณ 48% มูลค่า 20,000 ล้านบาท ตั้งเป้าสิ้นปีนี้ ลดเหลือ 15,000 ล้านบาท โดยแผนแก้ไข ทั้งเปลี่ยน NPL เป็น NPA รวมถึงพยายามประนอมหนี้ ปรับโครงสร้างหนี้ ในรายลูกค้าที่พอจะใช้ได้ และแนวทางสุดท้าย ซึ่งเราไม่อยากทำ คือ ขายทอดตลาด - แนวโน้ม NPL ของเอสเอ็มอีแบงก์ ในปีนี้ จะเป็นอย่างไร ผมเชื่อว่ามีน้อยมาก เนื่องจากในปี 50-51 ที่ผ่านมา ช่วงเศรษฐกิจยังขยายตัว เราไม่ได้ปล่อยมาก แต่เรามาเร่งปล่อยในช่วงเศรษฐกิจตก ถ้าลูกค้าผ่านช่วงวิกฤตตรงนี้ไปได้ เมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ก็จะไม่มี NPL เพราะลูกค้าจะมีอำนาจในการชำระหนี้มากขึ้น แต่สำหรับสถาบันการเงินอื่นๆ โดยรวม เชื่อว่า NPL จะเพิ่มขึ้น เพราะช่วงที่ผ่านมา เร่งปล่อยเยอะ พออำนาจซื้อน้อยลง ความสามารถในการชำระหนี้ก็ลดตามไปด้วย ซึ่งก็เป็นโอกาสให้ลูกค้าเหล่านี้ ไหลมาสู่เรามากขึ้น - เอสเอ็มอีแบงก์ยังเป็นความหวังให้ชาวเอสเอ็มอีได้หรือไม่ ผมอยากให้ลูกค้าที่เจอปัญหา เดินเข้ามาหาเอสเอ็มอีแบงก์ ไม่อยากให้โทรศัพท์เข้ามา เพราะจะได้มีเวลาในการคุยกันได้นาน และละเอียด อีกทั้ง อารมณ์ความรู้สึก กับการคุยต่อหน้ากับคุยโทรศัพท์มันผิดกัน ได้รู้ปัญหาจริงๆ ถ้ากรณีปัญหามันหนักหนาจริงๆ เราก็จะส่งเข้าโครงการพัฒนาฯ ผู้ประกอบการจะได้เห็นว่า เขายังมีเพื่อน ไม่รู้สึกว้าเหว่ และที่สำคัญ เขาจะได้เห็นถึงความจริงใจของเอสเอ็มอีแบงก์ มากกว่าแค่รู้จากข่าวที่ผ่านๆ มา

Labels:

“เอสเอ็มอีแบงก์” ปลื้มลูกค้าแห่ขอสินเชื่อ Q1 กว่า 5 พันล้าน

“เอสเอ็มอีแบงก์” ปลื้มลูกค้าแห่ขอสินเชื่อ Q1 กว่า 5 พันล้าน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
14 เมษายน 2552 10:07 น.

นายโสฬส สาครวิศว
เอสเอ็มอีแบงก์ เผยผลยอดอนุมัติสินเชื่อไตรมาสแรกฉลุยกว่า 5 พันล้าน เติบโตจากช่วงเดียวกันปี 51 ถึง 15% คาดสิ้นปีทะลุ 26,000 ล้านบาท ชี้เป็นผลจากวิกฤตเศรษฐกิจส่งผลให้ผู้ประกอบการ SMEs หันมาขอสินเชื่อกับธนาคารมากขึ้น พร้อมกับธนาคารได้ปรับปรุงกระบวนการอนุมัติสินเชื่อที่รวดเร็ว และยังมีแพ็กเก็จสินเชื่อบริการหลากหลายประเภท ซึ่งเป็นความร่วมมือกับหน่วยงานเครือข่าย SMEs ทั้งภาครัฐและเอกชน นายโสฬส สาครวิศว กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) เปิดเผยถึง ผลการอนุมัติสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการ SMEs ของธนาคารสิ้นไตรมาสแรก (ม.ค. – มี.ค.2552) ว่า ขณะนี้ยอดการอนุมัติสินเชื่อมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาสแรกปีนี้มียอดอนุมัติสินเชื่อทั้งสิ้นกว่า 5,800 ล้านบาท หรือคิดเป็น 23 % ของยอดสินเชื่อเป้าหมายรวมทั้งปี 26,000 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่ายอดอนุมัติสินเชื่อในช่วงเดียวกันของปี 2551 ถึง 15% และสามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของธนาคารได้ถึง 1,590 ราย โดยเป็นการแยกตามเป็นประเภทสินเชื่อ คือ สินเชื่อทั่วไป 83.8% และสินเชื่อโครงการ 16.2% นายโสฬส กล่าวว่า ยอดอนุมัติสินเชื่อของธนาคารที่เติบโตขึ้นนั้น มีสาเหตุจากสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ส่งผลให้ผู้ประกอบการ SMEs ต้องการเงินทุนเพื่อนำไปหมุนเวียนธุรกิจมากขึ้น ขณะที่ธนาคารพาณิชย์อื่น ๆ มีความระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ ประกอบกับ เอสเอ็มอีแบงก์ ซึ่งเป็นสถาบันการเงินของรัฐและเป็นกลไกรัฐ มีบทบาทในการมุ่งให้ช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs อย่างเต็มที่เพื่อช่วยธุรกิจ SMEs ให้อยู่รอดและมีความเข้มแข็ง นอกจากนี้ ธนาคารยังได้ปรับปรุงบริการทางการเงินที่มีความหลากหลาย เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายยิ่งขึ้นและครอบคลุมทั่วประเทศ อาทิ การจัดทำแพ็กเก็จเมนูสินเชื่อกู้วิกฤต SMEs โดยเฉพาะสินเชื่อชะลอเลิกจ้างแรงงาน ที่เสนออัตราดอกเบี้ยต่ำ (คงที่ 5% ต่อปีเป็นระยะเวลา 5ปี) การประสานมือกับหน่วยงานเครือข่าย SMEs เพื่อให้บริการสินเชื่อตรงกลุ่มเป้าหมาย การปรับโครงการสร้างองค์กรและบริการที่รวดเร็วในการอำนวยสินเชื่อลดขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน และการออกมาตรการผ่อนปรนเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวก ซึ่งถือว่ามีส่วนสำคัญให้ผู้ประกอบการ SMEs หันมาขอสินเชื่อกับธนาคารมากขึ้นตามไปด้วย

Labels:

ม.อ.คว้าแชมป์เว็บไซต์มหาวิทยาลัย 3 ปีซ้อน

ม.อ.คว้าแชมป์เว็บไซต์มหาวิทยาลัย 3 ปีซ้อน เร่งต่อยอด [15 เม.ย. 52 - 05:23]
นายธวัช ชิตตระการ รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ หรือ ม.อ. กล่าวว่า จากการจัดอันดับเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยกว่า 14,000 แห่งทั่วโลกของ Webometrics Ranking of World Universities โดยจะประกาศผลการจัดอันดับทุกๆ เดือนม.ค.และก.ค.ของทุกปี ปรากฏว่า ในปี 2552 นี้เว็บไซต์ www.psu.ac.th ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ถูกจัดให้อยู่อันดับที่ 1 ของประเทศไทย นับเป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน และอยู่ในอันดับที่2 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รองจาก National University of Singapore (NUS) อันดับที่ 25 ของเอเชีย และอันดับที่ 295 ของมหาวิทยาลัยทั่วโลก
รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา ม.อ. กล่าวต่อว่า Webometrics เป็นเครื่องมือการจัดอันดับมหาวิทยาลัยทั่วโลก ดำเนินการโดยคณะผู้วิจัย Cybermetrics Lab ที่เป็นห้องปฏิบัติการวิจัยของ The Center for Scientific Information and Documentation National Research Council ประเทศสเปน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอข้อมูลที่สามารถใช้บ่งชี้ปริมาณและคุณภาพของเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ของสถาบันที่แสดงถึงความมุ่งมั่น การศึกษาและวิจัยในการเผยแพร่ความรู้ ของนักวิชาการของสถาบันสู่โลกอินเทอร์เน็ตที่ผู้ใช้สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลโดยไร้ข้อจำกัดด้านเวลาและสถานที่
นายธวัช กล่าวอีกว่า เว็บไซต์ดังกล่าวได้รวบรวมทั้งสาระความรู้ หลักสูตรและข้อมูลการศึกษา รวมถึงกิจกรรมทางวิชาการของเหล่านักศึกษาและคณาจารย์ทุกวิทยาเขตทั้งหาดใหญ่ ปัตตานี ภูเก็ต สุราษฏร์ธานี และตรัง และถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยสนับสนุนการศึกษาได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ กระบวนการในการที่จะขับเคลื่อนให้ก้าวไปถึงเป้าหมายในการได้รับการจัดอยู่ในอันดับที่ 1 ให้นานที่สุด ก็คือ การเพิ่มผลการดำเนินงานในเชิงปริมาณและคุณภาพทั้งสารสนเทศที่มีคุณภาพ กิจกรรม และผลการดำเนินงานระดับสากล พร้อมการพัฒนาและเปิดช่องทางเพื่อเอื้อต่อการเข้าถึงให้มากที่สุด
รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา ม.อ. กล่าวด้วยว่า เป็นความภาคภูมิใจที่เว็บไซต์ของ ม.อ.สามารถครองอันดับ 1 ของประเทศติดต่อกันเป็นสมัยที่ 3 แล้ว ทำให้เป็นที่รู้จักกว้างขวางมากขึ้นไม่เฉพาะแต่ในประเทศไทยเท่านั้นแต่ทำให้เป็นที่รู้จักในระดับโลก เพราะเว็บไซต์เปรียบเสมือนประตูด่านแรกในการแนะนำตัวที่ทำให้ทั่วโลกได้รับรู้
“การได้รับการจัดให้เป็นเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยอันดับที่ 1 ของประเทศไทยเป็นเรื่องที่ยากอยู่แล้ว แต่การรักษาอันดับ 1 ไว้ถือว่ายากยิ่งกว่า เพราะหลังจากการประกาศผลการจัดอันดับของ Webometrics แล้ว เชื่อว่าทุกๆ มหาวิทยาลัยจะต้องมีการปรับปรุงเว็บไซต์ของตนเอง อย่างไรก็ตาม ถ้ามัวแต่ชื่นชมผลงานตัวเอง โดยไม่พัฒนาอย่างต่อเนื่องแล้วโอกาสที่จะอยู่ในอันดับที่ 1 ต่อไปคงเป็นเรื่องที่ยากมากขึ้น” นายธวัช กล่าว

Labels:

Monday, April 13, 2009

Seoul Motor Show 2009


ป้ายกำกับ: , ,
ที่ 2:18 ก่อนเที่ยง 0 ความคิดเห็น

SMS 2009: Sexy Kang Yui
Well for my first post, and to continue with the SMS 2009 postings, we have lovely Kang Yui. She has a beautiful smile and great legs :) .
ป้ายกำกับ: , , , , ,
ที่ 1:54 ก่อนเที่ยง 0 ความคิดเห็น

P&I 2009, Hwang Mi-Hee playing pool (Part 2)
OK Guys,here are some pics of the beautiful Hwang Mi-Hee at the Photo & Imaging 2009. As you can see, she’s still playing pool and as usual, she’s just adorable ;)
ป้ายกำกับ: , , , , ,
ที่ 1:44 ก่อนเที่ยง 0 ความคิดเห็น

เจี๊ยบ-พิจิตตรา ขาวจั๊วะน่าเจี๊ยะ!!
เจี๊ยบเองถ่ายแฟชั่นบิกินีเริงร่า ท้าสายตาหนุ่มๆค่อนประเทศ ให้หนังสือ mars น้ำทะเลสีฟ้าคราม ตัดกับผิวหยวก อกผลใหญ่ ที่โดดเด่นเด้งดึ๋งอยู่ใต้บิกินี สาวหน้าหวาน ขยับขึ้นแท่นเป็น “สาวเซ็กซี่” ได้ในพริบตา!
ป้ายกำกับ: , ,
ที่ 3:28 ก่อนเที่ยง 0 ความคิดเห็น

P&I 2009, Hwang Mi-Hee playing pool
It seems Hwang Mi-Hee is quite busy nowadays, after the Seoul Motor Show 2009 with GM Daewoo, she’s now part of the P&I 2009 (Photo and Imaging 2009) with Sigma. She’s very hot in that outfit, how do you think guys?
ป้ายกำกับ: , , , ,
ที่ 9:09 ก่อนเที่ยง 0 ความคิดเห็น

Yuuki Fukasawa ~ Greatest Dancer

ป้ายกำกับ: , , , , , ,
ที่ 8:13 ก่อนเที่ยง 0 ความคิดเห็น

Rei Okamoto ~ Sing Out II

ป้ายกำกับ: , , , , , , ,
ที่ 8:04 ก่อนเที่ยง 0 ความคิดเห็น

Sayuri Anzu ~ Caution, Sweet

ป้ายกำกับ: , , , , , ,
ที่ 7:57 ก่อนเที่ยง 0 ความคิดเห็น

Emi Kobayashi ~ MGNet

ป้ายกำกับ: , , ,
ที่ 10:26 ก่อนเที่ยง 0 ความคิดเห็น

SMS09, Song Joo-Kyung is shining
Here’s another update from the Seoul Motor Show 2009 with some pics of Song Joo-Kyung ;) She’s very pretty is that shiny black dress, isn’t she?
ป้ายกำกับ: , , ,
ที่ 9:56 ก่อนเที่ยง 0 ความคิดเห็น
บทความที่เก่ากว่า
สมัครสมาชิก: บทความ (Atom)
window.google_render_ad();

สนับสนุนโดย




ภาพเด็ดๆ อัพเดททุกวัน
2009 (239)
เมษายน (41)
SMS 2009: Hwang Mi Hee Seoul Motor Show 2009
SMS 2009: Sexy Kang Yui
P&I 2009, Hwang Mi-Hee playing pool (Part 2)
เจี๊ยบ-พิจิตตรา ขาวจั๊วะน่าเจี๊ยะ!!
P&I 2009, Hwang Mi-Hee playing pool
Yuuki Fukasawa ~ Greatest Dancer
Rei Okamoto ~ Sing Out II
Sayuri Anzu ~ Caution, Sweet
Emi Kobayashi ~ MGNet
SMS09, Song Joo-Kyung is shining
Nozomi Sasaki Gallery Photobooks VYJ No. 83
Nozomi Sasaki VYJ No. 83
SMS 2009: Hwang Mi Hee Makes Cute Threats
Hwang In Ji and Kim Ha Yul Seoul Motor Show 2009 P...
Seoul Motor Show 2009 : Song Jina
Seoul Motor Show 2009 : viva Choi Yu-Jung!!!
Princess Lee Ji Woo
Close-up pics with Hwang Mi Hee Seoul Motor Show 2...
แม่บ้านคนสวย สุดสยิว
Wallper ชมพู่ อารยา - นิตยสาร สุดสัปดาห์
ศุจินทรา Thailand Super Model - March 2009
Wallpaper ศรีริต้า เจนเซ่น - March 2009
Wallpaper แซมมี่+อาเมเรีย - นิตยสาร สุดสัปดาห์ Apr...
The top ten girls next door 2009 : GND 010
The top ten girls next door 2009 : GND 009
The top ten girls next door 2009 : GND 008
The top ten girls next door 2009 : GND 007
The top ten girls next door 2009 : GND 006
The top ten girls next door 2009 : GND 005
The top ten girls next door 2009 : GND 004
The top ten girls next door 2009 : GND 003
The top ten girls next door 2009 : GND 002
The top ten girls next door 2009 : GND 001
http://koreaxd.blogspot.com/2009/04/zoo-weekly.html
Hwang Mi Hee Black Style One-2
Amazing Hwang Mi-Hee wallpapers!!!!!!!
Han Jang Hee - Maxim Korea April 2009
Hwang Mi Hee Jean Skirt Style Three-1
Hwang Mi Hee Yellow Skirt 01
Jun Ji Hyun, Besti Belli 2008, Spring Fashion Phot...
Lee Ji Woo
มีนาคม (91)
เธอไม่เคยเป็นแฟนเก่า - Dr.Fuu + Aino Kishi
ใจเหลือเหลือ Dr Fuu + Misako Yasuda
Hwang Mi Hee - Driving World Race Queen Outfit
Hwang Mi Hee Vol 7 : Korea Pretty Idol
Leah Dizon Photo Gallery "Semi Nude" - Asian Japan...
น้องกระตอย สาวน้อยมือปืน
ว่ายน้ำกับสาวๆ ขาวๆ เนียนๆ ไหมคะ
มาแว้ววว โคโยตี้ งานมอเตอร์โชว์ แดนซ์กันมันส์
เห็น พอลล่าแล้ว ใครอยากเป็นอมยิ้มบ้าง
กุมภาพันธ์ (21)
มกราคม (86)
2008 (85)
ธันวาคม (27)
พฤศจิกายน (23)
ตุลาคม (35)

เว็บแนะนำ
Clip-idol คลิปหลุดดารา ไอดอล น่ารัก
Interxd สาวฝรั่ง เอ็กซ์ๆ
Korea สาวเกาหลี Idol นางเอกเกาหลี

ผู้ติดตาม



var skin = {};
skin['FACE_SIZE'] = '32';
skin['HEIGHT'] = "260";
skin['BORDER_COLOR'] = "FFFFFF";
skin['ENDCAP_BG_COLOR'] = "transparent";
skin['ENDCAP_TEXT_COLOR'] = "FFFFFF";
skin['ENDCAP_LINK_COLOR'] = "000000";
skin['ALTERNATE_BG_COLOR'] = "transparent";
skin['CONTENT_BG_COLOR'] = "transparent";
skin['CONTENT_LINK_COLOR'] = "000000";
skin['CONTENT_TEXT_COLOR'] = "FFFFFF";
skin['CONTENT_SECONDARY_LINK_COLOR'] = "FFFFFF";
skin['CONTENT_SECONDARY_TEXT_COLOR'] = "000000";
skin['CONTENT_HEADLINE_COLOR'] = "000000";
google.friendconnect.container.setParentUrl("/" /* location of rpc_relay.html and canvas.html */);
google.friendconnect.container.renderMembersGadget(
{ id: "div-1239614701717",
site: "16462671038885848365" },
skin);


Blogspot Template by Isnaini Dot Com

Labels: , , ,

Sunday, April 12, 2009

‘คิดดี้ ทอยส์’

‘คิดดี้ ทอยส์’ ของเล่นไม้ทวนกระแส ดึงเทคโนโลยีผงาดตลาดโลก

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 เมษายน 2552 07:52 น.



ท่ามกลางพิษเศรษฐกิจทรุด ระบาดทั่วโลก ผู้ผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกของไทย ต่างได้รับผลกระทบตามๆ กันไป ทว่า ในวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ หากสามารถพัฒนาตัวเอง และคว้าโอกาสจากช่องทางในตลาดได้สำเร็จ

อย่างในราย บริษัท คิดดี้ ทอยส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายของเล่นเด็กจากไม้ยางพาราแบรนด์ “คิดดี้ ทอยส์” (Kiddy Toys) เป็นเพียงโรงงานขนาดเล็กๆ มีพนักงานแค่ 9 คน ตั้งอยู่ใน อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ เริ่มต้นธุรกิจจากลองผิดลองถูก ขาดทักษะการผลิต จนของเสียเต็มโรงงาน แต่ด้วยสายตามองแนวโน้มตลาดอย่างแม่นยำ มุ่งผลิตสินค้าปลอดภัยได้คุณภาพ โดยนำเทคโนโลยีมาช่วย ประกอบกับพุ่งเข้าหาความช่วยเหลือของภาครัฐ จนสามารถผลิตสินค้าเป็นที่พึงพอใจของลูกค้า ทำให้วันนี้แม้ประเทศกำลังประสบวิกฤตเศรษฐกิจ แต่เอสเอ็มอีไทยรายนี้ กลับยังคงยืนหยัดอยู่รอดได้อย่างมั่นคง



อัญชลี วงษ์สุวรรณ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท คิดดี้ ทอยส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด


อัญชลี วงษ์สุวรรณ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท คิดดี้ ทอยส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เล่าให้ฟังว่า บริษัทดำเนินธุรกิจมากว่า 20 ปี เดิมผลิตเฟอร์นิเจอร์จากไม้สัก แต่เมื่อไม้สักหายากขึ้น ประกอบกับตลาดเฟอร์นิเจอร์การแข่งขันรุนแรง จึงหันมาผลิตของเล่นและเกมส์ลับสมองสำหรับเด็กจากไม้จามจุรีและไม้ยางพาราแทน

อย่างไรก็ตาม การปรับตัวดังกล่าวไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเครื่องไม้เครื่องมือที่มีอยู่เดิมใช้ผลิตชิ้นส่วนขนาดใหญ่ ประกอบกับความคุ้นชินของพนักงานในการผลิตเฟอร์นิเจอร์ พอมาทำของเล่นที่เป็นงานชิ้นเล็ก ความละเอียดสูง ทำให้สินค้าที่ผลิตออกมาไม่ได้คุณภาพ และไม่ตรงกับความต้องการของลูกค้า ส่งผลให้ตลาดไม่ตอบรับ จนเกือบต้องปิดกิจการ





“การขาดทักษะและไม่มีความรู้พื้นฐานการทำของเล่นมาก่อน ทำให้ประสบปัญหามากมาย ทั้งเรื่องแรงงาน เครื่องจักร ของเสียและสินค้าที่ด้อยคุณภาพเต็มโรงงาน รู้สึกท้อใจมาก เงินทุนที่มีอยู่ก็เริ่มร่อยหรอ จนเกือบถึงขั้นต้องปิดโรงงาน แต่การตัดสินใจครั้งสุดท้าย ลองไปร่วมออกบูทกับกรมส่งเสริมการส่งออก ที่ประเทศเยอรมนี โดยบริษัทใช้ประสบการณ์ที่ได้รับคำตำหนิของลูกค้าจากที่เคยไปออกบูทที่ฮ่องกงก่อนหน้านี้มาปรับปรุง อีกทั้ง ศึกษาตลาดในประเทศเยอรมนีด้วย ปรากฏว่าได้รับออร์เดอร์จากลูกค้าหนึ่งราย แม้ยังถูกตำหนิอยู่บ้างด้านคุณภาพสินค้า แต่เขาก็ยอมสั่งออร์เดอร์ และช่วยแนะนำว่าควรปรับปรุงสินค้าอย่างไร ซึ่งลูกค้ารายนี้ยังคงเป็นคู่ค้าที่ดีกับเรามาโดยตลอด ถือเป็นจุดที่ทำให้คิดดี้ทอยส์ อยู่มาจนถึงวันนี้ ” อัญชลี กล่าว





ในส่วนการผลิตต้องพบอุปสรรคอย่างมากเช่นกัน เพราะเครื่องจักรที่ใช้อยู่เป็นเครื่องจักรเก่าผลิตเฟอร์นิเจอร์ ไม่เหมาะทำของเล่น ดังนั้น ตัดสินใจลงทุนซื้อเครื่องจักรทันสมัยเข้ามาใช้อย่างขาดความรู้ พอใช้ไปได้สักระยะต้องประสบปัญหาอีก ทั้งเหลือเศษไม้สูญเปล่าปริมาณมาก อีกทั้ง คนงานขาดความรู้ด้านเทคนิค จึงใช้ไม้อย่างสิ้นเปลือง





เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว บริษัทได้เข้ารับความช่วยเหลือจากภาครัฐ ในโครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย ( iTAP ) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ตั้งแต่ปี 2549 ภายใต้โครงการ “การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตของเล่นเด็กและเกมส์จากไม้ยางพาราและไม้จามจุรี” และโครงการ “พัฒนาการทำ Line สี” โดย iTAP ได้จัดส่งคณะผู้เชี่ยวชาญเป็นที่ปรึกษา ช่วยพัฒนาเทคนิคอบไม้ ลดการสูญเสียจากกระบวนการผลิต และการให้ความรู้ในเรื่องของคุณสมบัติของสีที่ใช้





สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อัญชลี ระบุว่า บริษัทสามารถลดการสูญเสีย และสิ้นเปลืองไม้ จากเดิมร้อยละ 60 - 70 เหลือเพียงร้อยละ 10 ช่วยประหยัดต้นทุนได้มาก อีกทั้ง พนักงานได้รับความรู้และเสริมทักษะในการผลิต ช่วยเพิ่มกำลังผลิตขึ้นกว่าร้อยละ 50





นอกจากนี้ สามารถพัฒนาการผลิตได้แทบทุกขั้นตอน ตั้งแต่คัดเลือกวัตถุดิบ การตรวจคุณภาพไม้ กระบวนการผลิต เทคนิคอัดน้ำยารักษาเนื้อไม้ที่ถูกต้อง รวมไปถึง ใช้สีเหมาะสมไม่เป็นอันตราย และไม่มีสารปนเปื้อน ช่วยให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้มาตรฐานสากล และยังมีความหลากหลาย ตอบสนองความต้องการของตลาดในแต่ละประเทศได้ดีขึ้น ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นจากเดิม 20 ล้านบาทต่อปี เป็น 60 ล้านบาทต่อปี โดยในปี 2551 ที่ผ่านมา มียอดการสั่งซื้อเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 20





อัญชลี ระบุด้วยว่า จากวิกฤตขาดความน่าเชื่อถือสินค้าของเล่นที่ผลิตจากประเทศจีน ทำให้โรงงานของเล่นจีน ต้องปิดตัวลงกว่า 4 พันแห่ง เป็นผลดีให้ตลาดของเล่นทั่วโลกทั้งยุโรป สหรัฐอเมริกา ฯลฯ หันมาสั่งซื้อสินค้าจากไทยแทน และจากที่บริษัทได้ปรับตัวยกระดับมาตรฐานการผลิตไว้พร้อมแล้ว จึงได้รับอานิสงส์มียอดสั่งเพิ่มสูงขึ้น จนผลิตแทบไม่ทัน โดยปัจจุบัน บริษัทมีพนักงานเพิ่มขึ้นเป็น 60 คน จากเดิมที่มีอยู่เพียง 9 คน ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ส่งออกต่างประเทศกว่าร้อยละ 95 ส่วนที่เหลือ ขายในโชว์รูมหน้าโรงงาน



โชว์รูม "คิดดี้ ทอยส์"


“ จากการพัฒนาคุณภาพที่ไม่หยุดนิ่งและการเปิดใจยอมรับสิ่งใหม่ๆ ทำให้ปัจจุบัน บริษัทสามารถยืนหยัดได้ แม้ประเทศประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งจะเห็นได้จากยอดการสั่งซื้อที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง จนผลิตแทบไม่ทัน แม้ยอดสั่งซื้อจากตลาดหลัก เช่น ญี่ปุ่น และเกาหลี จะชะงักลงไป แต่บริษัทฯ ก็ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะนอกจากลูกค้าเดิมในกลุ่มประเทศแถบตะวันออกกลางแล้ว ยังได้ลูกค้าใหม่จากตลาดยุโรปและสหรัฐฯ กลับเข้ามา โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็น 1 ใน 5 ของผู้ซื้อของเล่นไม้รายใหญ่ของโลก ทำให้วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ บริษัทฯ ไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด ” อัญชลี กล่าว




ภายในโรงงานผลิต ใน อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่


********************************

โทร. (053)311-134 หรือ www.kiddytoys.com

Labels:

กรมส่งออกจับมือeBay พัฒนาผู้ประกอบการไทยค้าขายออนไลน์

กรมส่งออกจับมือeBay พัฒนาผู้ประกอบการไทยค้าขายออนไลน์

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 10 เมษายน 2552 09:41 น.


นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก


ปีนี้เป็นปีที่หลายๆ ประเทศต่างได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินโลก ที่เริ่มก่อตัวจากสหรัฐฯ ลุกลามไปยังประเทศต่างๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งไทย ซึ่งได้ส่งผลให้เศรษฐกิจการค้า การลงทุน รวมไปถึงกำลังซื้อของทั่วโลกชะลอตัวลง และมีผลกระทบต่อยอดการส่งออกสินค้าไทยที่ชะลอตัวลงตามไปด้วย

กรมส่งเสริมการส่งออก ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการผลักดันการส่งออกสินค้าไทย ได้พยายามที่จะดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อผลักดันการส่งออกสินค้าไทยไม่ให้ชะลอตัวลง และพยายามที่จะหาเทคนิคและรูปแบบใหม่ๆ มาใช้ในการบุกเจาะตลาด

ล่าสุดได้พบช่องทางการขายสินค้าไทยผ่านโลกออนไลน์ เพราะเพียงแค่มีอินเทอร์เน็ตอยู่ที่บ้าน ก็สามารถที่จะนำสินค้าเข้าไปวางขายได้ และสามารถขายไปได้ทุกที่ในโลกนี้

นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กล่าวว่า กรมฯ ได้ร่วมมือกับ eBay ซึ่งปัจจุบันนี้ ถือได้ว่าเป็นผู้ประกอบการที่เป็นสื่อกลางในการค้าขายผ่านระบบอินเทอร์เน็ตที่ทั่วโลกให้การยอมรับ มียอดการค้าขายผ่าน eBay เป็นจำนวนมาก และเห็นว่าน่าจะเป็นช่องทางอีกช่องทางหนึ่งให้กับผู้ประกอบการไทยในการค้าขายสินค้า จึงได้มีโครงการที่จะร่วมมือกับ eBay ในการพัฒนาผู้ประกอบการไทย


ทั้งนี้ แนวทางในการร่วมมือกับ eBay นั้น จะพัฒนาผู้ประกอบการไทยให้สามารถค้าขายกับต่างประเทศผ่านระบบออนไลน์ โดยจะจัดฝึกอบรมให้กับผู้ส่งออกไทยที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชีผู้ส่งออก (Export List) ของกรมฯ ที่ขณะนี้มีประมาณ 1 หมื่นราย โดยจะเน้นไปยังผู้ส่งออกขนาดกลางและเล็ก รวมไปถึงสินค้าโอทอป และสินค้าเอสเอมอี ให้สามารถนำสินค้าขึ้นไปวางขายในตลาดออนไลน์ เพื่อเพิ่มช่องทางในการขายสินค้า

“จะเปิดโอกาสให้ผู้ส่งออกไทยทุกสินค้า เข้ามาร่วม และจะร่วมกับ eBay เปิดคลอสฝึกอบรมประมาณปลายเดือนเม.ย.นี้ ว่าจะเอาสินค้าขึ้นไปโพสขายต้องทำยังไง มีขั้นตอนวิธีการอะไรบ้าง ขายสินค้าได้แล้วจะรับชำระเงินกันยังไง ซึ่งจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งให้ผู้ส่งออกไทยมีโชว์รูมสำหรับไว้โชว์สินค้าและขายสินค้าได้” นายราเชนทร์กล่าว

สำหรับขั้นตอนการดำเนินการ จะเปิดรับสมัครผู้ส่งออกที่สนใจจะร่วมทำการค้าขายผ่านระบบออนไลน์ โดยจะเปิดโอกาสให้ทุกกลุ่มสินค้า หากมีผู้สนใจจำนวนมาก ก็จะจัดฝึกอบรมหลายครั้ง และจะขยายการฝึกอบรมในลักษณะดังกล่าวไปยังต่างจังหวัด เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการในต่างจังหวัดสามารถขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์ได้เพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกัน ยังได้มีการหารือกับ eBay เพื่อช่วยเหลือผู้ส่งออกไทยที่นำสินค้าขึ้นไปวางขายในระบบ หากสามารถขายสินค้าได้ ก็ให้ลดค่าธรรมเนียมในการรับชำระค่าสินค้าผ่านระบบ PayPal ให้ด้วย เพื่อสนับสนุนให้ผู้ส่งออกไทยมีการขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์ให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการผลักดันการส่งออกสินค้าไทยในรูปแบบใหม่ๆ แม้การซื้อขายจะมีปริมาณไม่มากในเบื้องต้น แต่เชื่อว่าในอนาคตจะขยายการส่งออกได้มากขึ้น

นายราเชนทร์กล่าวว่า นอกเหนือจากการเพิ่มช่องทางการค้าขายผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ต กรมฯ ยังได้ดำเนินการให้มีการแปลข้อมูลเป็นรายสินค้า เช่น สินค้าแฟชั่น ไลฟ์สไตล์ อัญมณีและเครื่องประดับ อาหาร เป็นภาษาต่างประเทศ แล้วนำไป Link กับเว็บไซต์ของสินค้านั้นๆ โดยเฉพาะเว็บไซต์ที่เป็นที่นิยมในต่างประเทศ เพื่อเป็นการโฆษณาและประชาสัมพันธ์สินค้าไทย รวมทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้มีการค้าขายได้เพิ่มขึ้น

“กำลังให้แปลข้อมูลเป็นรายสินค้า และจะทำให้ครอบคลุมทุกๆ สินค้า แล้วนำไป Link กับเว็บไซต์ชื่อดังเฉพาะสินค้านั้นๆ ซึ่งจะเป็นการช่วยประชาสัมพันธ์สินค้าไทย โดยรายละเอียดที่นำไป Link นั้น นอกจากจุดเด่นต่างๆ ของสินค้าไทยแล้ว จะมีรายละเอียดของสินค้าและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นกับสินค้านั้นๆ ด้วย โดยจะมีการอัพเดดตลอดเวลา เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้ามาติดตามความเคลื่อนไหว และจะมีผลต่อการสั่งซื้อสินค้าไทย”นายราเชนทร์กล่าว

สำหรับการดำเนินการดังกล่าว เป็นไปตามนโยบายของนางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ต้องการให้มีการเพิ่มยอดการส่งออกด้วยวิธีการใหม่ๆ โดยเฉพาะการใช้วิธีค้าขายผ่านระบบอินเทอร์เน็ตที่ขณะนี้กำลังได้รับความนิยมแพร่หลาย และให้มีการประชาสัมพันธ์สินค้าไทยผ่านระบบออนไลน์ให้มากขึ้น

ส่วนผู้ประกอบการไทยที่มีความสนใจในการทำการค้าขายผ่านระบบอินเทอร์เน็ต และสนใจที่จะค้าขายผ่าน eBay สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดต่างๆ ได้ที่ สายด่วน 1169 เพราะเป็นอีกหนึ่งช่องทางใหม่ในการช่วยพัฒนาให้ผู้ประกอบการไทยสามารถส่งออกสินค้าออกไปขายต่างประเทศได้ และไม่จำเป็นต้องลงทุนมากเหมือนกับการส่งออกปกติ

Labels:

"เซ็นทรัลเวิลด์-พารากอน" ปิดก่อนเวลา

"เซ็นทรัลเวิลด์-พารากอน" ปิดก่อนเวลา หลังเสื้อแดงก่อจลาจล

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 เมษายน 2552 19:14 น.


การจัดงานเทศกาลสงกรานต์ที่บริเวณด้านหน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ย่านราชประสงค์ ถูกยกเลิกทันที หลังจากศูนย์การค้าแห่งนี้ ประกาศปิดให้บริการเวลา 16.30 น. เนื่องจากเกรงว่า ลูกค้าจะไม่ได้รับความปลอดภัยจากการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง แต่ผู้จัดงานยืนยันว่า จะมีการจัดงานในวันพรุ่งนี้อย่างแน่นอน
ขณะที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน เจ้าหน้าที่ต้องนำป้ายปิดให้บริการชั่วคราวมาติดบริเวณรั้ว หลังมีนักท่องเที่ยวไม่ทราบว่า ห้างปิดก่อนกำหนด

Labels:

สารพัดปัญหารุมกระทืบ SMEs

สารพัดปัญหารุมกระทืบ SMEs แนวโน้มดิ่งเหวที่สุดในรอบ 5 ปี

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 10 เมษายน 2552 12:24 น.


สสว. เผยผลสรุปสถานการณ์ภาพรวม SMEs ไทย ปีนี้คาดเพิ่มจำนวนเล็กน้อย จ้างงานหดอยู่ที่ 9.05 ล้านคน ส่วนคาดการณ์แนวโน้ม ปรับลดลงทุกด้าน ทั้งรายได้ ส่งออก กำไร ความสามารถการแข่งขัน โดยเป็นการลดต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี สำหรับปัจจัยที่ส่งผลกระทบสูงสุด คือ เศรษฐกิจไทยชะลอตัว การเมืองวุ่นวาย และพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ส่วนธุรกิจที่คาดได้รับผลกระทบรุนแรง ในภาคอุตสาหกรรมการผลิต ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องอิเล็คทรอนิกส์ เครื่องจักรกล เป็นต้น ส่วนภาคบริการ ได้แก่ บริการการก่อสร้าง โรงแรมและภัตตาคาร บริการท่องเที่ยว เป็นต้น



ดร.ณัฐพล ผู้อำนวยการโครงการศึกษาวิเคราะห์และเตือนภัย SMEs รายสาขา (SAW) สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนดกลางและขนาดย่อม (สสว.)


ดร.ณัฐพล ผู้อำนวยการโครงการศึกษาวิเคราะห์และเตือนภัย SMEs รายสาขา (SAW) สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เผยว่า จากผลศึกษาของ SAW ล่าสุดเมื่อ 9 เมษายน 2552 ที่ผ่านมา จากผู้ประกอบการ SMEs จำนวน 4,200 รายทั่วประเทศในทุกภาคอุตสาหกรรม ทั้งการผลิต การค้า และบริการ ได้ผลสรุปว่า ภาพรวมจำนวน SMEs ในปี 2552 จะมีจำนวนประมาณ 2.4 ล้านราย เพิ่มขึ้นเล็กน้อยประมาณร้อยละ 0.27 หรือ 34,478 ราย ส่วนจำนวนการจ้างงาน มีจำนวนประมาณ 9.05 ล้านคน ลดลงร้อยละ 1.16

ส่วนดัชนีเพื่อการเตือนภัยอื่นๆ พบว่า มูลค่าตลาดวัดจากรายได้สุทธิ การส่งออก กำไร ผลตอบแทนจากการดำเนินงาน ความสามารถในการชำระหนี้ ผลิตภาพแรงงาน ผลิตภาพทุน อาจจะลดลงต่อเนื่องจากปี 2551 ซึ่งคงจะทำให้ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี ได้แก่ รายได้มูลค่าประมาณ 5.7 ล้านล้านบาท หดตัวจากปี 2551 ร้อยละ 2.33 โดยเป็นการส่งออก 1.58 ล้านล้านบาท หดตัวร้อยละ 6.41; ผลิตภาพแรงงาน ปรับลดลงต่อเนื่องอีกร้อยละ -4.71; ผลตอบแทนจากการดำเนินงานร้อยละ 3.98 ปรับลดลงต่อเนื่องร้อยละ 6.31; ความสามารถในการชำระหนี้ 2.59 เท่า ปรับลดลงต่อเนื่องอีกร้อยละ 5.68; และ ผลิตภาพทุน 0.22 เท่า ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.87

ทั้งนี้ ผลสำรวจ SMEs ( ณ วันที่ 9 เม.ย.) ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการประกอบการได้แก่ ลำดับที่ 1 ปัจจัยด้านเศรษฐกิจไทย ร้อยละ 98.66 กังวลมากขึ้นร้อยละ 0.1 จากปี 2551 เนื่องจากความ วิตกกังวลเรื่อง การลงทุน ความเชื่อมั่น และความสามารถในการส่งออก ที่ยังส่งผลกระทบต่อเนื่อง

ลำดับที่ 2 สถานการณ์ทางการเมือง ร้อยละ 97.21 กังวลเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.40 เนื่องจาก SMEs ยังคงวิตกกังวลเรื่อง ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อและยาวนาน อันจะส่งผระทบต่อความเชื่อมั่น การท่องเที่ยว และเศรษฐกิจไทย จนทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคหันกลับมาเก็บออมแทนการบริโภคที่น่าจะเป็นตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะ SMEs ในภาคกลาง

ลำดับที่ 3 พฤติกรรมผู้บริโภค ร้อยละ 96.23 คิดว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคภายในประเทศน่าจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจในปี 2552 ต่อไปเนื่องจาก SMEs มีความวิตกกังวลว่าเหตุการณ์ทางการเมืองจะส่งผลการออมมากกว่าบริโภคตามปกติ

ลำดับที่ 4 เศรษฐกิจโลก ร้อยละ 91.23 กังวลน้อยลงร้อยละ 2.30 เนื่องจาก SMEs ประเมินว่าเหตุการณ์ภายในประเทศในปัจจุบันน่าจะส่งผลมากกว่า และเริ่มจะเข้าใจในสถานการณ์ที่ผ่านมา

ลำดับที่ 5 การแข่งขันภายในประเทศ ร้อยละ 89.75 กังวลลดลงร้อยละ 0.41 เนื่องจาก SMEs ประเมินว่าเหตุการณ์ภายในประเทศในปัจจุบันน่าจะส่งผลให้ เกิดการชะลอการลงทุนด้านการตลาด แต่ก็คงให้ความสำคัญในลำดับที่ 5 เนื่องจากยังคงวิตกกังวลเรื่องการแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดจากผู้ประกอบการรายใหญ่ หรือผู้ที่มีศักยภาพ จนทำให้ตนเองไม่สามารถอยู่รอดได้

ทั้งนี้ SMEs คาดการณ์รายได้ กว่าร้อยละ 51 คาดว่า ปี 2552 น่าจะมีรายได้รวมลดลงจากปีก่อน กว่าร้อยละ 17 คาดการณ์ว่ารายได้รวมจะเพิ่มขึ้น ขณะที่กว่าร้อยละ 31 คาดการณ์ว่าจะยังรักษาสภาพได้เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2551 ที่ผ่านมา

สำหรับคาดการณ์ส่งออก SMEs กว่าร้อยละ 53 คาดการณ์ว่าตนเองจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกจนทำให้การส่งออกลดลง และ กว่าร้อยละ 31 ประเมินว่าไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่ ร้อยละ 15 ยังคาดการณ์ว่าโอกาศในการเพิ่มยอดการส่งออกยังพอจะเป็นไปได้ในปี 2552 แม้ว่าจะลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนก็ตาม

ส่วนผลกระทบต่อการคาดการณ์ผลกำไร SMEs กว่าร้อยละ 60 คาดการณ์ว่าผลกำไรสุทธิของตนจะลดลงในปี 2552 อย่างไรก็ตามมีผู้ประกอบการประมาณร้อยละ 15 ยังคงคาดการณ์ว่าตนเองจะสามารถสร้างผลกำไรได้ในปี 2552

ดร.ณัฐพล เผยด้วยว่า ผลการสำรวจคาดธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบ และน่าเป็นห่วงมาก ประกอบด้วย ธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมการผลิต ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องอิเล็คทรอนิกส์ เครื่องจักรกล เหล็กโลหะและผลิตภัณฑ์ เครื่องมือเฉพาะด้าน ยานยนต์ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ฯ ต่อเรื่อซ่อมเรือ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม หนังและผลิตภัณฑ์หนัง เยื่อกระดาษ กระดาษ และผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์พลาสติก แก้วและเซรามิค แร่อโลหะที่ใช้ในการก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ อัญมณีและเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์จากไม้ ผลิตภัณฑ์ยาง ผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ และผักผลไม้แปรรูป ตามลำดับ

ส่วนธุรกิจในภาคการบริการ ได้แก่ บริการการก่อสร้าง โรงแรมและภัตตาคาร บริการท่องเที่ยว บริการอสังหาริมทรัพย์ บริการคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ (Digital Content) บริการอำนวยการ บริการเสริมสร้างสุขภาพ สปา และสังคม ตามลำดับ

Labels:

มหกรรมแฟรนไชส์สร้างอาชีพ

งานมหกรรมแฟรนไชส์สร้างอาชีพเพื่อคนว่างงาน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 เมษายน 2552 13:27 น.


โอกาสทอง!! สำหรับผู้ที่กำลังมองหาลู่ทางทำธุรกิจส่วนตัว พนักงานออฟฟิศที่ต้องการหารายได้เสริมจากงานประจำ คนว่างงาน เพราะนิตยสารตั้งตัว ร่วมมือกับ เทสโก้โลตัส พลัส ศรี-นครินทร์ และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ จัดงาน “มหกรรมแฟรนไชส์สร้างอาชีพ” ในวันที่ 1 - 3 พฤษภาคมนี้ ณ ชั้น 1 ห้างเทสโก้โลตัส พลัส ศรีนครินทร์

วัตถุประสงค์ “มหกรรมแฟรนไชส์สร้างอาชีพ” จัดงานเพื่อเปิดโอกาสการเจรจาธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการ และกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่ที่อาจไม่เคยไปเดินงานแฟรนไชส์ที่จัดขึ้นในฮอลล์ อีกทั้งกระตุ้นกลุ่มคนทำงานประจำให้ทราบถึงช่องทางในการประกอบอาชีพเสริมด้วยการลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์ และธุรกิจน่าลงทุนต่างๆ รวมถึงเป็นการส่งเสริม สนับสนุนให้ประชาชนทั่วไปที่ประสบปัญหาตกงาน ว่างงาน ถูกเลย์ออฟ ได้มีโอกาสเจอกับผู้ประกอบการแฟรนไชส์ตัวจริงในสถานที่จัดงานที่พวกเขาคุ้นเคย เข้าถึงได้ง่าย

งานนี้มีได้รวมเจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์ระดับพรีเมี่ยม และแฟรนไชส์รายใหม่ที่น่าลงทุน มาเข้าร่วมงานพร้อมให้ข้อมูลกับผู้ที่สนใจมากกว่า 40 บูธ อาทิ แฟรนไชส์ลูกชิ้นหมูพริกกะเหรี่ยง, ตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ Diary Fresh, คังเซนเคนโด, ไทยประกันชีวิต, สยามเบสคอฟฟี่, เรืออมรดา, แฟรนไชส์โรงงานขยะรีไซเคิลวงษ์พาณิชย์, แฟรนไชส์บ้านลูกชิ้น, AIS ระบบเติมเงินมือถือ, ตู้เติมเงินมือถือ ADT, ทัชวู๊ด, แฟรนไชส์ร้านสารพัดบริการวินเซ็นท์, ตู้เติมเงินมือถือ 3 TOP, แฟรนไชส์และศูนย์ฝึกอบรมบาเทนเดอร์ ฯลฯ

นอกจากนี้ตลอด 3 วันของงาน ยังมีกิจกรรมให้ผู้เข้าร่วมงานได้ร่วมสนุกมากมาย อาทิ ทอล์กโชว์ “เศรษฐกิจไทยแย่ เศรษฐกิจโลกร่วง แล้วคนไทยจะทำอย่างไรให้รวย” โดยอาจารย์ลักษณ์ เรขานิเทศ, และร่วมทอล์คโชว์เคล็ดลับการปรับฮวงจุ้ยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ จากอาจารย์สุรวุฒิ แช่มช้อย คอลัมน์นิสต์ชื่อดัง ชินแสประจำรายการหยิน - หยางทูเดย์ และข้อกฎหมายการทำธุรกิจแฟรนไชส์ที่ควรรู้ โดยคุณภัสดล อนุตรเดชธนกุล นักกฎหมายชื่อดัง และร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติในการทำธุรกิจกับดาราคนดัง แพนเค้ก เขมนิจ จามิกรณ์, น้ำฝน กุณณัฏฐ์ กุลปรียาวัฒน์ และสเตฟาน สันติ วีรบุญชัย

และนี่คือ ธุรกิจชั้นนำ และกิจกรรมดีๆ ที่ทางทีมงานนิตยสารตั้งตัวเลือกเฟ้นมา เพื่อให้ผู้ที่สนใจทำธุรกิจส่วนตัวใหม่ หรือหาช่องทางทำธุรกิจได้มาพบกันในวันแรงงานแห่งชาติ คนไทยทุกคนจะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ภายใต้การจัดงานที่ดูแลและใส่ใจคนทั่วประเทศ

ผู้ประกอบการหรือผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมงาน หรือเลือกช้อปธุรกิจได้ เพียง 3 วันเท่านั้น พร้อมรับโปรโมชั่นพิเศษ ระหว่างวันที่ 1 – 3 พฤษภาคม 2552 ณ ชั้น 1 ห้างเทสโก้โลตัส พลัส ศรีนครินทร์ (พื้นที่ที่มีปริมาณผู้เข้าใช้บริการในห้างฯ ในช่วงวันศุกร์ - เสาร์ - อาทิตย์ กว่าวันละ 20,000 – 25,000 คน)

Labels:

Friday, April 10, 2009

สารพัดปัญหารุมกระทืบ SMEs

สารพัดปัญหารุมกระทืบ SMEs แนวโน้มดิ่งเหวที่สุดในรอบ 5 ปี

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 10 เมษายน 2552 12:24 น.


สสว. เผยผลสรุปสถานการณ์ภาพรวม SMEs ไทย ปีนี้คาดเพิ่มจำนวนเล็กน้อย จ้างงานหดอยู่ที่ 9.05 ล้านคน ส่วนคาดการณ์แนวโน้ม ปรับลดลงทุกด้าน ทั้งรายได้ ส่งออก กำไร ความสามารถการแข่งขัน โดยเป็นการลดต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี สำหรับปัจจัยที่ส่งผลกระทบสูงสุด คือ เศรษฐกิจไทยชะลอตัว การเมืองวุ่นวาย และพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ส่วนธุรกิจที่คาดได้รับผลกระทบรุนแรง ในภาคอุตสาหกรรมการผลิต ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องอิเล็คทรอนิกส์ เครื่องจักรกล เป็นต้น ส่วนภาคบริการ ได้แก่ บริการการก่อสร้าง โรงแรมและภัตตาคาร บริการท่องเที่ยว เป็นต้น



ดร.ณัฐพล ผู้อำนวยการโครงการศึกษาวิเคราะห์และเตือนภัย SMEs รายสาขา (SAW) สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนดกลางและขนาดย่อม (สสว.)


ดร.ณัฐพล ผู้อำนวยการโครงการศึกษาวิเคราะห์และเตือนภัย SMEs รายสาขา (SAW) สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เผยว่า จากผลศึกษาของ SAW ล่าสุดเมื่อ 9 เมษายน 2552 ที่ผ่านมา จากผู้ประกอบการ SMEs จำนวน 4,200 รายทั่วประเทศในทุกภาคอุตสาหกรรม ทั้งการผลิต การค้า และบริการ ได้ผลสรุปว่า ภาพรวมจำนวน SMEs ในปี 2552 จะมีจำนวนประมาณ 2.4 ล้านราย เพิ่มขึ้นเล็กน้อยประมาณร้อยละ 0.27 หรือ 34,478 ราย ส่วนจำนวนการจ้างงาน มีจำนวนประมาณ 9.05 ล้านคน ลดลงร้อยละ 1.16

ส่วนดัชนีเพื่อการเตือนภัยอื่นๆ พบว่า มูลค่าตลาดวัดจากรายได้สุทธิ การส่งออก กำไร ผลตอบแทนจากการดำเนินงาน ความสามารถในการชำระหนี้ ผลิตภาพแรงงาน ผลิตภาพทุน อาจจะลดลงต่อเนื่องจากปี 2551 ซึ่งคงจะทำให้ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี ได้แก่ รายได้มูลค่าประมาณ 5.7 ล้านล้านบาท หดตัวจากปี 2551 ร้อยละ 2.33 โดยเป็นการส่งออก 1.58 ล้านล้านบาท หดตัวร้อยละ 6.41; ผลิตภาพแรงงาน ปรับลดลงต่อเนื่องอีกร้อยละ -4.71; ผลตอบแทนจากการดำเนินงานร้อยละ 3.98 ปรับลดลงต่อเนื่องร้อยละ 6.31; ความสามารถในการชำระหนี้ 2.59 เท่า ปรับลดลงต่อเนื่องอีกร้อยละ 5.68; และ ผลิตภาพทุน 0.22 เท่า ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.87

ทั้งนี้ ผลสำรวจ SMEs ( ณ วันที่ 9 เม.ย.) ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการประกอบการได้แก่ ลำดับที่ 1 ปัจจัยด้านเศรษฐกิจไทย ร้อยละ 98.66 กังวลมากขึ้นร้อยละ 0.1 จากปี 2551 เนื่องจากความ วิตกกังวลเรื่อง การลงทุน ความเชื่อมั่น และความสามารถในการส่งออก ที่ยังส่งผลกระทบต่อเนื่อง

ลำดับที่ 2 สถานการณ์ทางการเมือง ร้อยละ 97.21 กังวลเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.40 เนื่องจาก SMEs ยังคงวิตกกังวลเรื่อง ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อและยาวนาน อันจะส่งผระทบต่อความเชื่อมั่น การท่องเที่ยว และเศรษฐกิจไทย จนทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคหันกลับมาเก็บออมแทนการบริโภคที่น่าจะเป็นตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะ SMEs ในภาคกลาง

ลำดับที่ 3 พฤติกรรมผู้บริโภค ร้อยละ 96.23 คิดว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคภายในประเทศน่าจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจในปี 2552 ต่อไปเนื่องจาก SMEs มีความวิตกกังวลว่าเหตุการณ์ทางการเมืองจะส่งผลการออมมากกว่าบริโภคตามปกติ

ลำดับที่ 4 เศรษฐกิจโลก ร้อยละ 91.23 กังวลน้อยลงร้อยละ 2.30 เนื่องจาก SMEs ประเมินว่าเหตุการณ์ภายในประเทศในปัจจุบันน่าจะส่งผลมากกว่า และเริ่มจะเข้าใจในสถานการณ์ที่ผ่านมา

ลำดับที่ 5 การแข่งขันภายในประเทศ ร้อยละ 89.75 กังวลลดลงร้อยละ 0.41 เนื่องจาก SMEs ประเมินว่าเหตุการณ์ภายในประเทศในปัจจุบันน่าจะส่งผลให้ เกิดการชะลอการลงทุนด้านการตลาด แต่ก็คงให้ความสำคัญในลำดับที่ 5 เนื่องจากยังคงวิตกกังวลเรื่องการแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดจากผู้ประกอบการรายใหญ่ หรือผู้ที่มีศักยภาพ จนทำให้ตนเองไม่สามารถอยู่รอดได้

ทั้งนี้ SMEs คาดการณ์รายได้ กว่าร้อยละ 51 คาดว่า ปี 2552 น่าจะมีรายได้รวมลดลงจากปีก่อน กว่าร้อยละ 17 คาดการณ์ว่ารายได้รวมจะเพิ่มขึ้น ขณะที่กว่าร้อยละ 31 คาดการณ์ว่าจะยังรักษาสภาพได้เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2551 ที่ผ่านมา

สำหรับคาดการณ์ส่งออก SMEs กว่าร้อยละ 53 คาดการณ์ว่าตนเองจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกจนทำให้การส่งออกลดลง และ กว่าร้อยละ 31 ประเมินว่าไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่ ร้อยละ 15 ยังคาดการณ์ว่าโอกาศในการเพิ่มยอดการส่งออกยังพอจะเป็นไปได้ในปี 2552 แม้ว่าจะลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนก็ตาม

ส่วนผลกระทบต่อการคาดการณ์ผลกำไร SMEs กว่าร้อยละ 60 คาดการณ์ว่าผลกำไรสุทธิของตนจะลดลงในปี 2552 อย่างไรก็ตามมีผู้ประกอบการประมาณร้อยละ 15 ยังคงคาดการณ์ว่าตนเองจะสามารถสร้างผลกำไรได้ในปี 2552

ดร.ณัฐพล เผยด้วยว่า ผลการสำรวจคาดธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบ และน่าเป็นห่วงมาก ประกอบด้วย ธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมการผลิต ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องอิเล็คทรอนิกส์ เครื่องจักรกล เหล็กโลหะและผลิตภัณฑ์ เครื่องมือเฉพาะด้าน ยานยนต์ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ฯ ต่อเรื่อซ่อมเรือ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม หนังและผลิตภัณฑ์หนัง เยื่อกระดาษ กระดาษ และผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์พลาสติก แก้วและเซรามิค แร่อโลหะที่ใช้ในการก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ อัญมณีและเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์จากไม้ ผลิตภัณฑ์ยาง ผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ และผักผลไม้แปรรูป ตามลำดับ

ส่วนธุรกิจในภาคการบริการ ได้แก่ บริการการก่อสร้าง โรงแรมและภัตตาคาร บริการท่องเที่ยว บริการอสังหาริมทรัพย์ บริการคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ (Digital Content) บริการอำนวยการ บริการเสริมสร้างสุขภาพ สปา และสังคม ตามลำดับ

Labels:

Saturday, April 04, 2009

ซิสโก้” เปิดกลยุทธ์ครึ่งปีหลังส่งโซลูชั่นใหม่เจาะตลาดเอสเอ็มบี

ซิสโก้” เปิดกลยุทธ์ครึ่งปีหลังส่งโซลูชั่นใหม่เจาะตลาดเอสเอ็มบี
03/04/2009
ซิสโก้รุกหนักตลาดเอสเอ็มบี เผยผลสำรวจพบมีช่องว่างให้โตได้อีกมาก ด้านเอสเอ็มบีไทยระบุหวั่นใจเรื่องไวรัสและสแปมที่สุด เปิดช่องให้ส่งโซลูชั่นไวรัส แอนด์ สแปมบล็อกเกอร์ ลงสนาม มั่นใจโดนใจเอสเอ็มบี พร้อมเตรียมดันอีกหลายโซลูชั่นสู่ตลาดเพื่อกลุ่มเอสเอ็มบีโดยเฉพาะ

วัตสัน ถิรภัทรพงศ์ ผู้จัดการทั่วไป กลุ่มธุรกิจพาณิชย์ บริษัทซิสโก้ ซีสเต็มส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมของตลาดธุรกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มบี) จากไอดีซีระบุว่า เม็ดเงินที่ใช้จ่ายในด้านไอทีรวมทั้งหมดทั่วโลกในปี 2008 นั้นอยู่ที่ 1.03 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งมาจากกลุ่มเอสเอ็มบี 49.7% ทั้งนี้กลุ่มเอสเอ็มบีแบ่งเป็นกลุ่มที่มีพนักงาน ต่ำกว่า 100 คน 38% กลุ่มที่มีพนักงาน 100-499 คน 37% และกลุ่มที่มีพนักงาน 500-999 คน 25% โดยลักษณะการใช้ไอทีของกลุ่มเอสเอ็มบีทั่วโลกจะเป็นการใช้เพื่อเสริมและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนลดค่าใช้จ่ายเป็นหลัก

และหลังจากที่ซิสโก้ได้ศึกษาตลาดแนวโน้มตลาดเอสเอ็มบีแล้วพบว่า สิ่งที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มบีเป็นกังวลมากที่สุดคือเรื่องของการรักษาความปลอดภัยของระบบ โดยเฉพาะเรื่องของการกำจัดอีเมล์ไม่พึงประสงค์ อย่าง สแปม และการติดไวรัสจากอีเมล์ รวมไปถึงการป้องกันอีเมล์ที่ส่งเว็บไซต์ลวง (phishing) นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และการเชื่อมต่อระบบการสื่อสาร ดังนั้นความสนใจในการลงทุนของตลาดกลุ่มเอสเอ็มบีจึงมุ่งไปที่เรื่องดังกล่าว

สำหรับโซลูชั่นที่กำลังเป็นที่ต้องการอย่างยิ่งของกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มบี สแปม แอนด์ ไวรัส บล็อกเกอร์ ซิสโก้จึงเปิดตัว Cisco® Spam and Virus Blocker อุปกรณ์รักษาความปลอดภัยของระบบในองค์กรขนาดใหญ่ แต่ย่อส่วนมาให้เหมาะสำหรับการใช้งานของเอสเอ็มบี โซลูชั่นนี้ช่วยปกป้องเน็ตเวิร์กขององค์กร และข้อมูลสำคัญจากไวรัสและการโจมตีด้วยอีเมล์ที่มุ่งร้าย ขณะที่ช่วยบรรเทาบรรดาสแปมไปด้วยในขณะเดียวกัน โดยจะช่วย อีเมล์ไม่พึงประสงค์ และการติดไวรัสจากอีเมล์ผู้บุกรุกก่อนที่เมล์เหล่านั้นจะเข้าถึงอีเมล์ของผู้ใช้งาน ที่สำคัญคือใช้งานง่าย บริหารจัดการได้ง่าย ใช้เวลาในการติดตั้งในระบบเครือข่ายเพียงไม่กี่นาที และผู้ดูแลระบบไม่ต้องวุ่นวายกับการอัพเดทระบบ เพราะระบบจะอัพเดทโดยอัตโนมัติจากเครือข่ายการเฝ้าระวังการจราจรบนเว็บและอีเมล์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

“การมีระบบเครือข่ายที่ปลอดภัยยังทำให้เอสเอ็มบีสามารถขยายระบบไปเป็นเครือข่ายไร้สาย สามารถอนุญาตให้พนักงานเข้าถึงข้อมูลจากที่ใดก็ได้ และใช้เครื่องคอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊กในการติดต่อสื่อสาร รวมถึงการใช้งานระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ไปจนถึงการส่งต่อสายของลูกค้าที่โทรเข้ามาไปให้พนักงานที่เหมาะสมที่สุดเพื่อตอบคำถามกับลูกค้า“

วัตสัน กล่าวต่อว่า นอกจากอุปกรณ์ใหม่ล่าสุดนี้ซิสโก้ยังได้จัดตั้งส่วนงาน Cisco Small Business Technology Group (SBTG) ทำหน้าที่มุ่งเน้นพัฒนาเทคโนโลยีที่ส่งเสริมใน 6 ปัจจัยหลัก ซึ่งมุ่งเน้นส่งเสริมอัตราการเติบโตของธุรกิจเอสเอ็มบี และตรงกับความต้องการของกลุ่มเอสเอ็มบีมากที่สุด ปัจจัยดังกล่าวประกอบด้วย การรักษาความปลอดภัย การเชื่อมต่อการสื่อสาร การเพิ่มประสิทธิภาพงาน การเชื่อมต่อจากระยะไกล การมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า และการให้บริการต่อลูกค้า

เพื่อให้กลุ่มเอสเอ็มบีสามารถลงทุนในเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมและมีความจำเป็นต่อธุรกิจได้ ซิสโก้ โครงการสนับสนุนด้านการลงทุนในรูปแบบของลิซซิ่ง คือ ซิสโก้แคปปิตอล เพื่อให้บริการด้านการเงินแก่ลูกค้าของซิสโก้ทั่วโลก โดยมีบริการสินเชื่อที่ออกแบบมาเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมโดยเฉพาะ

นายวัตสัน กล่าวอีกว่า นอกจากโซลูชั่นด้านการรักษาความปลอดภัยของระบบแล้ว ยังมีโซลูชั่นด้านเน็ตเวิร์ก และโซลูชั่นเพื่อการประสานความร่วมมืออีกด้วย ทั้งนี้ เพราะซิสโก้มองว่า การสร้างเครือข่ายของธุรกิจขนาดกลางและย่อมในปัจจุบันไม่ใช่การแจกนามบัตรตามงานแสดงสินค้าอีกต่อไป แต่ต้องเป็นกระบวนการที่ลดค่าใช้จ่ายด้านการดำเนินงานได้ และตอบสนองต่อตลาดและความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเครือข่ายนี้จะต้องมาพร้อมกับความปลอดภัย ความเชื่อถือได้ และสามารถส่งผ่านข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว

“เครือข่ายนี้เองจะช่วยเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของเอสเอ็มบี คือ สามารถทำงานจากที่ใดก็ได้ สามารถเข้าถึงข้อมูลลูกค้าได้จากทุกที่ทุกเวลา เป็นการเตรียมตัวสำหรับอนาคต ทำให้บริหารจัดการระบบเครือข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสาร ลดค่าใช้จ่าย จากรายงานของไอดีซีระบุว่าการรวมศูนย์การสื่อสารให้อยู่บนเครือข่ายเดียวกันจะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ถึง 46% สุดท้ายคือรวมเครื่องโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน ซึ่งจะช่วยให้พนักงานสามารถเข้าถึงข้อมูลลูกค้า ข้อมูลในการทำงาน พร้อมๆ กับสามารถติดต่อประสานงานกับลูกค้าและผู้ที่เกี่ยวข้องได้ตลอดเวลา”

Labels:

แนะทางรอดธุรกิจไทยใช้ความคิดสร้างสรรค์พัฒนาสินค้าฝ่าวิกฤต

แนะทางรอดธุรกิจไทยใช้ความคิดสร้างสรรค์พัฒนาสินค้าฝ่าวิกฤต
03/04/2009
เรื่อง : กีรติ สารแสง


นายแบงก์ระบุวิกฤตเศรษฐกิจรอบนี้ยังหาจุดต่ำสุดไม่เจอ แต่เท่านี้ก็สร้างความเสียหายให้ระบบเศรษฐกิจมากกว่าครั้งไหนๆ แล้ว โดยภาคส่งออกไทยหนักสุดเพราะตลาดหลักเสียหายหนัก จี้รัฐบาลเร่งเปิดตลาดการค้าใหม่ๆ ทั้งตะวันออกลาง-กลุ่มซีไอเอส-แอฟริกา รวมถึงกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศ ในขณะที่ผู้ประกอบการก็ต้องเร่งปรับตัวนำความคิดสร้างสรรค์มาใช้พัฒนาสินค้า โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจอาหารและพลังงานทดแทน

ดร.สาธิต อุทัยศรี ที่ปรึกษาสายประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวในการสัมมนาหัวข้อ “อะไรจะเป็นอะไรในวิกฤตเศรษฐกิจโลก” ว่าสภาวะเศรษฐกิจที่กำลังถดถอยในปัจจุบันยังไม่ถึงจุดต่ำสุด หรืออาจกล่าวได้ว่ายังไม่ถึงจุดที่ย่ำแย่ที่สุดก็ว่าได้ เพราะประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและยุโรปยังคงทะเลาะกันอยู่ ซึ่งจากการประเมินคาดว่าวิกฤตเศรษฐกิจรอบนี้เกิดขึ้นเพราะระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเป็นระบบที่เปราะบางและไร้เสถียรภาพ และแม้วิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้นยังหาจุดต่ำสุดไม่เจอแต่ก็ได้สร้างความเสียหายมากกว่าวิกฤตเศรษฐกิจครั้งก่อนๆ แล้ว เป็นเพราะหลายประเทศมีเงินมากขึ้น เงินเป็นอาหารของระบบเศรษฐกิจ และการเติบโตของเงินเป็นตัวกำหนดระบบเศรษฐกิจ ดังนั้นเมื่อเกิดวิกฤตทางการเงินขึ้นจึงส่งผลกระทบอย่างรุนแรง นอกจากนี้ส่วนที่เป็นหัวใจหลักของวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ คือการหายไปของ Asset Value ดังหนทางแก้ไขจึงควรกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายมากขึ้น รวมถึงกระตุ้นโดยโครงการลงทุนขนาดใหญ่ก็เป็นวิธีการที่ดีแต่ก็ต้องใช้เวลามาก

“ในส่วนประเทศไทยนั้น ระบบเศรษฐกิจของเรายังอยู่ในสภาวะที่ดี แต่ภาคการส่งออกมีปัญหา ประเทศที่เราเคยส่งออกได้ สั่งซื้อของเราลดลงเพราะเศรษฐกิจเขามีปัญหา รัฐบาลควรเร่งแก้ปัญหาตรงจุดนี้”

ขณะที่ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย กล่าวในการสัมมนาหัวข้อ “ปรับทิศเศรษฐกิจไทย ทำอย่างไร SME จึงอยู่รอด” ว่าวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ร้ายแรงมาก และส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของประเทศไทยโดยตรง ซึ่งเศรษฐกิจของประเทศไทยมีภาคการส่งออกเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ ดังนั้นยอดการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศที่ลดลงส่งผลทำให้รายได้หลักที่จะเข้ามาหล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจหายไป ซึ่งแนวทางการแก้ไขต้องเร่งหาตลาดส่งออกใหม่ โดยเพิ่มการค้าขายกับประเทศกลุ่มตะวันออกกลาง กลุ่มซีไอเอส กลุ่มประเทศในแอฟริกา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ รวมถึงกลุ่มประเทศตามกรอบจีเอ็มเอส และกลุ่มอาเซียน นอกจากนี้ต้องเพิ่มความสำคัญตลาดภายในประเทศควบคู่ไปด้วย

ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมการผลิตและภาคธุรกิจของไทยนั้น ควรให้ความสำคัญในเรื่อง Carbon Emission Reduction (CER) ให้เป็นตัวขับเคลื่อน หรือใช้ประโยชน์จาก CER (Green Industries) นอกจากนี้ควรต่อยอดภาคเกษตรเข้าสู่ธุรกิจอาหารและพลังงาน อีกทั้งธุรกิจควรมีความคิดสร้างสรรค์ โดยพัฒนารูปแบบสินค้าให้ดูดีใช้ดีและคุ้มค่า สุดท้ายควรเสริมสร้างการใช้ประโยชน์จากที่ตั้งของประเทศไทยเป็น Logistics Hub ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ในส่วนของธุรกิจ SME นั้น ดร.ณรงค์ชัย กล่าวว่าเมื่อเห็นทิศทางเศรษฐกิจใหม่ดังนี้แล้วจึงควรที่จะเข้าใจและเข้าถึงตลาดใหม่ทั้งเชิงสินค้าและพื่นที่ เข้าใจเข้าถึงการใช้ประโยชน์จาก CER เน้นการพัฒนาต่อยอดธุรกิจอาหารและพลังงานทดแทน รวมถึงธุรกิจบริการที่เป็นส่วนของ Logistics Thailand และควรเปลี่ยนจาก Made in Thailand สู่การเป็น Designed in Thailand โดยเติมความคิดสร้างสรรค์ลงไปด้วย เพื่อเพิ่มปริมาณการสั่งซื้อและช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น

Labels:

สหรัฐฯ เตรียมยิงเลเซอร์ยักษ์ 192 ตัวใส่ไฮโดรเจน

สหรัฐฯ เตรียมยิงเลเซอร์ยักษ์ 192 ตัวใส่ไฮโดรเจน สร้างปฏิกิริยานิวเคลียร์ ที่เกิดในใจกลางดวงอาทิตย์ไว้บนโลก ก่ออุณหภูมิได้ 100 ล้านองศา หลังทุ่มเทเวลามากว่า 12 ปี โดยเริ่มต้นการทดลองได้ มิ.ย.นี้ นับเป็นความหวังสร้างโรงไฟฟ้าปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน ที่ให้พลังงานมหาศาล

หน่วยงานการเผาไหม้เครื่องยนต์แห่งสหรัฐฯ (The US National Ignition Facility) หรือเอ็นไอเอฟ ได้จำลองความเป็นไปได้ในการสร้างปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน ซึ่งเป็นกระบวนการที่ให้พลังงานสะอาดหมดจดได้

สำนักข่าวบีบีซีนิวส์ระบุว่า ห้องปฏิบัติการของสำนักงานแห่งนี้ จะเริ่มขึ้นในเดือน มิ.ย.52 ด้วยการยิงลำแสงเลเซอร์จากเครื่องกำเนิดขนาดใหญ่ 192 ตัวไปที่ก้อนเชื้อเพลิงไฮโดรเจน ซึ่งหากการทดลองได้ผลต้องมีพลังงานได้ออกมากกว่าพลังงานที่ใส่ให้ระบบ

ดร.เอ็ด โมเซส (Dr.Ed Moses) ผู้อำนวยการเอ็นไอเอฟกล่าวว่า การทดลองนี้ถือเป็นหลักไมล์สำคัญ และพวกเขากำลังไปได้สวย ในการทดลองเพื่อควบคุมการเกิดปฏฺกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันอันคงที่ และให้พลังงานออกมาเป็นครั้งแรก โดยสหรัฐฯ ใช้เวลาถึง 12 ปีเพื่อสร้างเครื่องไม้เครื่องมือและเลเซอร์ที่ทรงพลังที่สุดนี้ ซึ่งการทดลองจะเริ่มขึ้นในเดือน มิ.ย.52 นี้ และคาดว่าจะได้ผลที่แสดงนัยสำคัญออกมาในช่วงปี 2553-2555

สำหรับปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันนั้น ถูกมองว่าเป็นเหมือน "จอกศักดิ์สิทธิ์" ของแหล่งพลังงาน ในแง่ของศักยภาพที่จะให้พลังงานสะอาดอย่างเกือบไร้ขีดจำกัด แต่นักวิทยาศาสตร์ยังห่างไกล ในการสร้างเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ชิวชันที่ใช้งานได้ เชิงปฏิบัติมาหลายทศวรรษ

แต่ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์มั่นใจว่า พวกเขากำลังเข้าใกล้เป้าหมายแล้ว โดยการทดลองหลายๆ อย่างทั่วโลก พุ่งเป้าไปที่การก่อสร้างอาคารสำหรับปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน

ทั้งนี้ ในกระบวนการเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันนั้น ไฮโดรเจนในรูปไอโซโทปที่หนักกว่าอย่าง "ดิวเทอเรียม" (deuterium) และ "ทริเทียม" (tritium) จะหลอมรวมกันกลายเป็นฮีเลียม ซึ่งดิวเทอเรียมนั้นพบได้ทั่วไปในน้ำทะเล ขณะที่ทริเทียมก็เตรียมได้จากลิเธียม ซึ่งเป็นธาตุที่พบได้ทั่วไปในดิน และเมื่อไอโซโทปเหล่านี้รวมกันที่อุณหภูมิสูง มวลเพียงเล็กน้อยจะสูญเสียไปและพลังงานมหาศาลจะถูกปล่อยออกมา

ในธรรมชาติปฎิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน เกิดขึ้นที่ใจกลางของดาวฤกษ์ โดยที่ความดันมหาศาลเนื่องจากความโน้มถ่วงทำให้เกิดปฏิกิริยาที่อุณหภูมิประมาณ 10 ล้านองศาเซลเซียส แต่ในที่ความดันต่ำกว่ามากอย่างบนโลก จำเป็นต้องใช้อุณหภูมิที่สูงกว่านั้นมาก คือประมาณ 100 ล้านองศาเซลเซียส เพื่อให้เกิดปฏิกิริยานี้ขึ้น โดยหน่วยงานเอ็นไอเอฟของสหรัฐฯ ได้มุ่งทำการทดลองนี้โดยอาศัยเลเซอร์ที่มีกำลังสูงอย่างยิ่งยวด

"เมื่อเลเซอร์ทั้งหมดของเอ็นไอเอฟเผาไหม้ที่พลังงานเต็มที่ จะปล่อยพลังงานจากรังสีอัลตราไวโอเลต 1.8 เมกะจูลส์ไปยังเป้าหมาย" ดร.โมเซสอธิบาย โดยความเข้มของพลังงานจากเลเซอร์ที่เอ็นไอเอฟผลิตขึ้นนี้มากกว่าระบบเลเซอร์ที่เคยมีถึง 60 เท่า

เมื่อเกิดการเผาไหม้จะมีพัลส์ (pulse) สั้นๆ ไม่กี่ "นาโนวินาที" (nanosecond) หรือประมาณ 1 ในพันล้านของวินาที แต่ปล่อยพลังงานออกมา 500 แสนล้านวัตต์ ซึ่งมากกว่ากำลังไฟฟ้าที่ผลิตได้ทั้งหมดในสหรัฐฯ เสียอีก และพลังงานที่เข้มมากนี้จะพุ่งตรงไปยังก้อนพลังงานที่เป็นก้อนกลมๆ จากนั้นละลายผิวของก้อนพลังงานแล้วหลอมรวมวัสดุที่เหลืออยู่ภายใน

"กระบวนการนี้ทำให้เกิดอุณหภูมิเป็น 100 ล้านองศาและมีความดันสูงกว่าความดันอากาศบนโลกพันล้านเท่า ขับให้นิวเคลียสของไฮโดรเจนหลอมรวม แล้วปลดปล่อยพลังงานออกมามากกว่าพลังงานเลเซอร์ที่ใช้จุดให้เกิดปฏิกิริยาหลายเท่า" ดร.มอสส์กล่าว

หากการทดลองได้ผล เอ็นไอเอฟจะทำให้ได้พลังงานมากกว่าที่ใส่ให้เลเซอร์เพื่อเริ่มต้นปฏิกิริยานิวเคลียร์ได้ 10-100 เท่า และการทดลองอื่นๆ ก็แสดงให้เห็นว่าการทำให้เกิดพลังงานลักษณะนี้เป็นไปได้ แต่ยังไม่มีใครให้ภาพได้ว่าพลังงานสุทธิที่จะได้รับนั้นเป็นเท่าใด.

Labels:

20 ค้าปลีก-แฟรนไชส์ จับมือ ม.ศรีปทุม สร้างบุคลากรคุณภาพป้อนภาคธุรกิจทั้งระบบ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 เมษายน 2552 11:19 น.


แฟรนไชส์ จับมือ ม.ศรีปทุม สร้างบุคลากรคุณภาพป้อนภาคธุรกิจทั้งระบบ
เผยค้าปลีกและแฟรนไชส์ไทยโตสวนกระแสเศรษฐกิจ เชื่อมั่นสร้างฐานรากเศรษฐกิจแบบยั่งยืนในอนาคต

นายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมการค้าส่ง- ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์ธุรกิจค้าปลีก
และแฟรนไชส์ของประเทศไทย ช่วงปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปจากระบบเดิมมาก
โดยเฉพาะการนำไฮเทคโนโลยีและระบบการบริหารจัดการด้านค้าปลีก-แฟรนไชส์
เข้ามาวางแผนและปรับภาพลักษณ์ของร้านค้าให้ทันสมัยตอบสนองความต้องการของชีวิตในเมืองของผู้บริโภคอยู่ตลอ
ดเวลา จะเห็นได้ว่าการเติบโตการค้าปลีกที่เป็นระบบได้ขยายสาขา มีปริมาณร้านค้าทั่วประเทศเพิ่มขึ้นทุกปี

ธุรกิจค้าปลีกไทยนับเป็นแฟรนไชส์อันดับต้นๆ ที่ได้รับความสนใจจากแฟรนไชซี
และมีอัตราการขยายตัวสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2552 มีมูลค่าทางธุรกิจอยู่ที่ประมาณสองล้านล้านบาท

ธุรกิจค้าปลีก-แฟรนไชส์ ไทยได้พัฒนารูปแบบและมีการขยายพื้นที่มากขึ้น
ยิ่งในตัวเมืองหลักจะเห็นได้ว่า มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เกิดการสร้างศูนย์การค้า
การขยายสาขาของธุรกิจค้าปลีกข้ามชาติ อาทิ กลุ่มเซ็ลทรัล เทสโก้โลตัส บิ๊กซี และร้านสะดวกซื้อจำนวนมาก
ทำให้เกิดรูปแบบการค้าที่หลากหลายทุกระดับ
ประกอบด้วยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการจับจ่ายของคนเมืองที่ต้องการความพึงพอใจและความสะดวกสบายมากขึ้น
แต่ปัจจุบันบุคลากรที่มีความรู้เรื่องระบบค้าปลีก แฟรนไชส์ ของไทยยังมีน้อยมาก
ทำให้ภาคอุตสาหกรรมค้าปลีกรายใหญ่ กลุ่มโมเดิร์นเทรด และผู้ประกอบการรายย่อยต่างประสบปัญหาพอสมควร
จึงเป็นเรื่องดีที่ทางม.ศรีปทุมจัดหลักสูตรนี้ขึ้นมาตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการ


“เชื่อว่าหลักสูตรนี้จะสามารถตอบโจทย์การยกระดับธุรกิจค้าปลีกและแฟรนไชส์ในประเทศให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น
เพราะสถาบันการศึกษาถือเป็นหนึ่งในผู้ที่มีบทบาทสำคัญ
นอกเหนือจากภาครัฐและภาคธุรกิจที่จะผลักดันให้การพัฒนาธุรกิจค่าปลีกและแฟรนไชส์ในประเทศให้เติบโต
เพราะที่ผ่านมาการขาดแคลนบุคลากรและองค์ความรู้ด้านธุรกิจค้าปลีกและแฟรนไชส์นี่เองที่ทำให้ธุรกิจค้าปลีก
และ แฟรนไชส์ในไทยไม่สามารถเดินหน้าไปได้เท่าที่ควร” นายกสมาคมฯกล่าว

ดร.สุนันทา ไชยสระแก้ว ผู้อำนวยการหลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต
สาขาการจัดการธุรกิจค้าปลีกและแฟรนไชส์ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม กล่าวว่า ด้วยเหตุดังกล่าว
มหาวิทยาลัยศรีปทุม เล็งเห็นศักยภาพโอกาสการเติบโตของธุรกิจค้าปลีกและแฟรนไชส์ในไทย
ที่ประสบปัญหาขาดแคลนบุคลากรเฉพาะทางจึงเปิดหลักสูตร การจัดการธุรกิจค้าปลีกและแฟรนไชส์เต็มรูปแบบ
ครั้งแรกในเมืองไทย ทั้งในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท
เพื่อสร้างบุคลากรสาขาค้าปลีกและแฟรนไชส์ให้มีคุณภาพสอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมภาคธุรกิจของไทย

“เพราะธุรกิจค้าปลีกถือได้ว่าเป็นธุรกิจที่ความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ
เป็นภาคธุรกิจที่สร้างงานสร้างเงินนับหมื่นนับแสนล้านบาทต่อปี
และเป็นดัชนีสำคัญที่สะท้อนถึงความมั่งคั่งของประชาชนและความมั่นคงของประเทศ
หลักสูตรเน้นการให้ความรู้เรื่องทฤษฎีไปพร้อมกับการปฏิบัติงานในสถานประกอบการจริง
ซึ่งหลักสูตรได้ออกแบบให้มีการพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนให้เป็น
“นักบริหารและผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกและแฟรนไชส์มืออาชีพรุ่นใหม่” ผ่านการเรียนการสอนที่ทันสมัย
สมบูรณ์แบบได้มาตรฐานสากล สามารถทำงานในองค์กรค้าปลีกและแฟรนไชส์ได้อย่างหลากหลาย” ดร.สุนันทา
กล่าวและว่า สำหรับการเปิดรับสมัครทั้งสองหลักสูตรเปิดตั้งแต่บัดนี้จนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2552 ศกนี้

ด้านตัวแทนผู้ประกอบการรายใหญ่ในไทยกว่า 20 ราย
ได้ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจและความร่วมมือเปิดหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต
สาขาวิชาการจัดการธุรกิจค้าปลีกและแฟรนไชส์และบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต
สาขาวิชาการจัดการธุรกิจค้าปลีกและแฟรนไชส์ กับ ม.ศรีปทุม
ซึ่งตัวแทนผู้ประกอบการต่างเห็นพ้องเป็นเสียงเดียวกันว่า เห็นด้วยกับทาง ม.ศรีปทุม ที่จัดหลักสูตรนี้
เพราะว่าภาคธุรกิจตอนนี้ปัญหาหลักคือเรื่องขาดบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ
เฉพาะทางระบบค้าปลีกและแฟรนไชส์ ซึ่งปัญหาที่ผ่านมาทางผู้ประกอบการต้องเสียเวลาในการฝึกอบรม
สร้างองค์ความรู้ให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน ทำให้ธุรกิจไม่คล่องตัว เติบโตล่าช้า
ซึ่งจริงๆแล้วภาคค้าปลีกและแฟรนไชส์เป็นธุรกิจที่สร้างมูลค่าและความยั่งยืนให้แก่เศรษฐกิจโดยรวมของประเท
ศ ในการนี้ผู้ประกอบการพร้อมที่จะเป็นศูนย์ฝึกงานให้แก่นักศึกษาหลักสูตรดังกล่าวเต็มที่

ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมเวทีเสวนาครั้งนี้ ประกอบด้วย ตัวแทนผู้บริหารจาก บริษัท แบล็คแคนยอน
(ประเทศไทย) จำกัด (Black Canyon) บริษัท โชคดี อินเตอร์เนชั่นแนลแฟรนไชส์ จำกัด (โชคดีติ่มซำ) บริษัท
กิฟฟารีน สกายไลนส์ ยูนิตี้ จำกัด (กิฟฟารีน) บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) (Siam Macro) บริษัท
โมนา โพลิแตนท์ จำกัด (Cosmeda) บริษัท คาร์แลค (ไทย-เยอรมัน) จำกัด (Moly Care) บริษัท อีซี่ส์
อินเตอร์เนชั่นแนล แฟรนไชส์ จำกัด (EZ’S) บริษัท สมาร์ทอิงลิช จำกัด (Smart English) บริษัท
เดอะคอฟฟี่เมคเกอร์ จำกัด (The coffee maker) บริษัท ที อาร์ โปรดักส์ แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (Wizard
Auto Care) บริษัท วินเซนท์ เซ็นเตอร์เซอวิส กรุ๊ป จำกัด (Win-sent) บริษัท เพลย์ แอนด์ เลอน จำกัด
(Kido) บริษัท วราภรณ์ สมพงษ์ ฟู้ดส์ จำกัด (วราภรณ์ ซาลาเปา) บริษัท เค เอส กรุ๊ป (KS Group )

****ข้อมูลจาก www.smethailandclub.com****

Labels: