Saturday, April 04, 2009

แนะทางรอดธุรกิจไทยใช้ความคิดสร้างสรรค์พัฒนาสินค้าฝ่าวิกฤต

แนะทางรอดธุรกิจไทยใช้ความคิดสร้างสรรค์พัฒนาสินค้าฝ่าวิกฤต
03/04/2009
เรื่อง : กีรติ สารแสง


นายแบงก์ระบุวิกฤตเศรษฐกิจรอบนี้ยังหาจุดต่ำสุดไม่เจอ แต่เท่านี้ก็สร้างความเสียหายให้ระบบเศรษฐกิจมากกว่าครั้งไหนๆ แล้ว โดยภาคส่งออกไทยหนักสุดเพราะตลาดหลักเสียหายหนัก จี้รัฐบาลเร่งเปิดตลาดการค้าใหม่ๆ ทั้งตะวันออกลาง-กลุ่มซีไอเอส-แอฟริกา รวมถึงกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศ ในขณะที่ผู้ประกอบการก็ต้องเร่งปรับตัวนำความคิดสร้างสรรค์มาใช้พัฒนาสินค้า โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจอาหารและพลังงานทดแทน

ดร.สาธิต อุทัยศรี ที่ปรึกษาสายประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวในการสัมมนาหัวข้อ “อะไรจะเป็นอะไรในวิกฤตเศรษฐกิจโลก” ว่าสภาวะเศรษฐกิจที่กำลังถดถอยในปัจจุบันยังไม่ถึงจุดต่ำสุด หรืออาจกล่าวได้ว่ายังไม่ถึงจุดที่ย่ำแย่ที่สุดก็ว่าได้ เพราะประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและยุโรปยังคงทะเลาะกันอยู่ ซึ่งจากการประเมินคาดว่าวิกฤตเศรษฐกิจรอบนี้เกิดขึ้นเพราะระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเป็นระบบที่เปราะบางและไร้เสถียรภาพ และแม้วิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้นยังหาจุดต่ำสุดไม่เจอแต่ก็ได้สร้างความเสียหายมากกว่าวิกฤตเศรษฐกิจครั้งก่อนๆ แล้ว เป็นเพราะหลายประเทศมีเงินมากขึ้น เงินเป็นอาหารของระบบเศรษฐกิจ และการเติบโตของเงินเป็นตัวกำหนดระบบเศรษฐกิจ ดังนั้นเมื่อเกิดวิกฤตทางการเงินขึ้นจึงส่งผลกระทบอย่างรุนแรง นอกจากนี้ส่วนที่เป็นหัวใจหลักของวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ คือการหายไปของ Asset Value ดังหนทางแก้ไขจึงควรกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายมากขึ้น รวมถึงกระตุ้นโดยโครงการลงทุนขนาดใหญ่ก็เป็นวิธีการที่ดีแต่ก็ต้องใช้เวลามาก

“ในส่วนประเทศไทยนั้น ระบบเศรษฐกิจของเรายังอยู่ในสภาวะที่ดี แต่ภาคการส่งออกมีปัญหา ประเทศที่เราเคยส่งออกได้ สั่งซื้อของเราลดลงเพราะเศรษฐกิจเขามีปัญหา รัฐบาลควรเร่งแก้ปัญหาตรงจุดนี้”

ขณะที่ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย กล่าวในการสัมมนาหัวข้อ “ปรับทิศเศรษฐกิจไทย ทำอย่างไร SME จึงอยู่รอด” ว่าวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ร้ายแรงมาก และส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของประเทศไทยโดยตรง ซึ่งเศรษฐกิจของประเทศไทยมีภาคการส่งออกเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ ดังนั้นยอดการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศที่ลดลงส่งผลทำให้รายได้หลักที่จะเข้ามาหล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจหายไป ซึ่งแนวทางการแก้ไขต้องเร่งหาตลาดส่งออกใหม่ โดยเพิ่มการค้าขายกับประเทศกลุ่มตะวันออกกลาง กลุ่มซีไอเอส กลุ่มประเทศในแอฟริกา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ รวมถึงกลุ่มประเทศตามกรอบจีเอ็มเอส และกลุ่มอาเซียน นอกจากนี้ต้องเพิ่มความสำคัญตลาดภายในประเทศควบคู่ไปด้วย

ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมการผลิตและภาคธุรกิจของไทยนั้น ควรให้ความสำคัญในเรื่อง Carbon Emission Reduction (CER) ให้เป็นตัวขับเคลื่อน หรือใช้ประโยชน์จาก CER (Green Industries) นอกจากนี้ควรต่อยอดภาคเกษตรเข้าสู่ธุรกิจอาหารและพลังงาน อีกทั้งธุรกิจควรมีความคิดสร้างสรรค์ โดยพัฒนารูปแบบสินค้าให้ดูดีใช้ดีและคุ้มค่า สุดท้ายควรเสริมสร้างการใช้ประโยชน์จากที่ตั้งของประเทศไทยเป็น Logistics Hub ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ในส่วนของธุรกิจ SME นั้น ดร.ณรงค์ชัย กล่าวว่าเมื่อเห็นทิศทางเศรษฐกิจใหม่ดังนี้แล้วจึงควรที่จะเข้าใจและเข้าถึงตลาดใหม่ทั้งเชิงสินค้าและพื่นที่ เข้าใจเข้าถึงการใช้ประโยชน์จาก CER เน้นการพัฒนาต่อยอดธุรกิจอาหารและพลังงานทดแทน รวมถึงธุรกิจบริการที่เป็นส่วนของ Logistics Thailand และควรเปลี่ยนจาก Made in Thailand สู่การเป็น Designed in Thailand โดยเติมความคิดสร้างสรรค์ลงไปด้วย เพื่อเพิ่มปริมาณการสั่งซื้อและช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น

Labels: