สารพัดปัญหารุมกระทืบ SMEs
สารพัดปัญหารุมกระทืบ SMEs แนวโน้มดิ่งเหวที่สุดในรอบ 5 ปี
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 10 เมษายน 2552 12:24 น.
สสว. เผยผลสรุปสถานการณ์ภาพรวม SMEs ไทย ปีนี้คาดเพิ่มจำนวนเล็กน้อย จ้างงานหดอยู่ที่ 9.05 ล้านคน ส่วนคาดการณ์แนวโน้ม ปรับลดลงทุกด้าน ทั้งรายได้ ส่งออก กำไร ความสามารถการแข่งขัน โดยเป็นการลดต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี สำหรับปัจจัยที่ส่งผลกระทบสูงสุด คือ เศรษฐกิจไทยชะลอตัว การเมืองวุ่นวาย และพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ส่วนธุรกิจที่คาดได้รับผลกระทบรุนแรง ในภาคอุตสาหกรรมการผลิต ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องอิเล็คทรอนิกส์ เครื่องจักรกล เป็นต้น ส่วนภาคบริการ ได้แก่ บริการการก่อสร้าง โรงแรมและภัตตาคาร บริการท่องเที่ยว เป็นต้น
ดร.ณัฐพล ผู้อำนวยการโครงการศึกษาวิเคราะห์และเตือนภัย SMEs รายสาขา (SAW) สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนดกลางและขนาดย่อม (สสว.)
ดร.ณัฐพล ผู้อำนวยการโครงการศึกษาวิเคราะห์และเตือนภัย SMEs รายสาขา (SAW) สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เผยว่า จากผลศึกษาของ SAW ล่าสุดเมื่อ 9 เมษายน 2552 ที่ผ่านมา จากผู้ประกอบการ SMEs จำนวน 4,200 รายทั่วประเทศในทุกภาคอุตสาหกรรม ทั้งการผลิต การค้า และบริการ ได้ผลสรุปว่า ภาพรวมจำนวน SMEs ในปี 2552 จะมีจำนวนประมาณ 2.4 ล้านราย เพิ่มขึ้นเล็กน้อยประมาณร้อยละ 0.27 หรือ 34,478 ราย ส่วนจำนวนการจ้างงาน มีจำนวนประมาณ 9.05 ล้านคน ลดลงร้อยละ 1.16
ส่วนดัชนีเพื่อการเตือนภัยอื่นๆ พบว่า มูลค่าตลาดวัดจากรายได้สุทธิ การส่งออก กำไร ผลตอบแทนจากการดำเนินงาน ความสามารถในการชำระหนี้ ผลิตภาพแรงงาน ผลิตภาพทุน อาจจะลดลงต่อเนื่องจากปี 2551 ซึ่งคงจะทำให้ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี ได้แก่ รายได้มูลค่าประมาณ 5.7 ล้านล้านบาท หดตัวจากปี 2551 ร้อยละ 2.33 โดยเป็นการส่งออก 1.58 ล้านล้านบาท หดตัวร้อยละ 6.41; ผลิตภาพแรงงาน ปรับลดลงต่อเนื่องอีกร้อยละ -4.71; ผลตอบแทนจากการดำเนินงานร้อยละ 3.98 ปรับลดลงต่อเนื่องร้อยละ 6.31; ความสามารถในการชำระหนี้ 2.59 เท่า ปรับลดลงต่อเนื่องอีกร้อยละ 5.68; และ ผลิตภาพทุน 0.22 เท่า ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.87
ทั้งนี้ ผลสำรวจ SMEs ( ณ วันที่ 9 เม.ย.) ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการประกอบการได้แก่ ลำดับที่ 1 ปัจจัยด้านเศรษฐกิจไทย ร้อยละ 98.66 กังวลมากขึ้นร้อยละ 0.1 จากปี 2551 เนื่องจากความ วิตกกังวลเรื่อง การลงทุน ความเชื่อมั่น และความสามารถในการส่งออก ที่ยังส่งผลกระทบต่อเนื่อง
ลำดับที่ 2 สถานการณ์ทางการเมือง ร้อยละ 97.21 กังวลเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.40 เนื่องจาก SMEs ยังคงวิตกกังวลเรื่อง ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อและยาวนาน อันจะส่งผระทบต่อความเชื่อมั่น การท่องเที่ยว และเศรษฐกิจไทย จนทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคหันกลับมาเก็บออมแทนการบริโภคที่น่าจะเป็นตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะ SMEs ในภาคกลาง
ลำดับที่ 3 พฤติกรรมผู้บริโภค ร้อยละ 96.23 คิดว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคภายในประเทศน่าจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจในปี 2552 ต่อไปเนื่องจาก SMEs มีความวิตกกังวลว่าเหตุการณ์ทางการเมืองจะส่งผลการออมมากกว่าบริโภคตามปกติ
ลำดับที่ 4 เศรษฐกิจโลก ร้อยละ 91.23 กังวลน้อยลงร้อยละ 2.30 เนื่องจาก SMEs ประเมินว่าเหตุการณ์ภายในประเทศในปัจจุบันน่าจะส่งผลมากกว่า และเริ่มจะเข้าใจในสถานการณ์ที่ผ่านมา
ลำดับที่ 5 การแข่งขันภายในประเทศ ร้อยละ 89.75 กังวลลดลงร้อยละ 0.41 เนื่องจาก SMEs ประเมินว่าเหตุการณ์ภายในประเทศในปัจจุบันน่าจะส่งผลให้ เกิดการชะลอการลงทุนด้านการตลาด แต่ก็คงให้ความสำคัญในลำดับที่ 5 เนื่องจากยังคงวิตกกังวลเรื่องการแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดจากผู้ประกอบการรายใหญ่ หรือผู้ที่มีศักยภาพ จนทำให้ตนเองไม่สามารถอยู่รอดได้
ทั้งนี้ SMEs คาดการณ์รายได้ กว่าร้อยละ 51 คาดว่า ปี 2552 น่าจะมีรายได้รวมลดลงจากปีก่อน กว่าร้อยละ 17 คาดการณ์ว่ารายได้รวมจะเพิ่มขึ้น ขณะที่กว่าร้อยละ 31 คาดการณ์ว่าจะยังรักษาสภาพได้เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2551 ที่ผ่านมา
สำหรับคาดการณ์ส่งออก SMEs กว่าร้อยละ 53 คาดการณ์ว่าตนเองจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกจนทำให้การส่งออกลดลง และ กว่าร้อยละ 31 ประเมินว่าไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่ ร้อยละ 15 ยังคาดการณ์ว่าโอกาศในการเพิ่มยอดการส่งออกยังพอจะเป็นไปได้ในปี 2552 แม้ว่าจะลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนก็ตาม
ส่วนผลกระทบต่อการคาดการณ์ผลกำไร SMEs กว่าร้อยละ 60 คาดการณ์ว่าผลกำไรสุทธิของตนจะลดลงในปี 2552 อย่างไรก็ตามมีผู้ประกอบการประมาณร้อยละ 15 ยังคงคาดการณ์ว่าตนเองจะสามารถสร้างผลกำไรได้ในปี 2552
ดร.ณัฐพล เผยด้วยว่า ผลการสำรวจคาดธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบ และน่าเป็นห่วงมาก ประกอบด้วย ธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมการผลิต ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องอิเล็คทรอนิกส์ เครื่องจักรกล เหล็กโลหะและผลิตภัณฑ์ เครื่องมือเฉพาะด้าน ยานยนต์ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ฯ ต่อเรื่อซ่อมเรือ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม หนังและผลิตภัณฑ์หนัง เยื่อกระดาษ กระดาษ และผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์พลาสติก แก้วและเซรามิค แร่อโลหะที่ใช้ในการก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ อัญมณีและเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์จากไม้ ผลิตภัณฑ์ยาง ผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ และผักผลไม้แปรรูป ตามลำดับ
ส่วนธุรกิจในภาคการบริการ ได้แก่ บริการการก่อสร้าง โรงแรมและภัตตาคาร บริการท่องเที่ยว บริการอสังหาริมทรัพย์ บริการคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ (Digital Content) บริการอำนวยการ บริการเสริมสร้างสุขภาพ สปา และสังคม ตามลำดับ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 10 เมษายน 2552 12:24 น.
สสว. เผยผลสรุปสถานการณ์ภาพรวม SMEs ไทย ปีนี้คาดเพิ่มจำนวนเล็กน้อย จ้างงานหดอยู่ที่ 9.05 ล้านคน ส่วนคาดการณ์แนวโน้ม ปรับลดลงทุกด้าน ทั้งรายได้ ส่งออก กำไร ความสามารถการแข่งขัน โดยเป็นการลดต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี สำหรับปัจจัยที่ส่งผลกระทบสูงสุด คือ เศรษฐกิจไทยชะลอตัว การเมืองวุ่นวาย และพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ส่วนธุรกิจที่คาดได้รับผลกระทบรุนแรง ในภาคอุตสาหกรรมการผลิต ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องอิเล็คทรอนิกส์ เครื่องจักรกล เป็นต้น ส่วนภาคบริการ ได้แก่ บริการการก่อสร้าง โรงแรมและภัตตาคาร บริการท่องเที่ยว เป็นต้น
ดร.ณัฐพล ผู้อำนวยการโครงการศึกษาวิเคราะห์และเตือนภัย SMEs รายสาขา (SAW) สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนดกลางและขนาดย่อม (สสว.)
ดร.ณัฐพล ผู้อำนวยการโครงการศึกษาวิเคราะห์และเตือนภัย SMEs รายสาขา (SAW) สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เผยว่า จากผลศึกษาของ SAW ล่าสุดเมื่อ 9 เมษายน 2552 ที่ผ่านมา จากผู้ประกอบการ SMEs จำนวน 4,200 รายทั่วประเทศในทุกภาคอุตสาหกรรม ทั้งการผลิต การค้า และบริการ ได้ผลสรุปว่า ภาพรวมจำนวน SMEs ในปี 2552 จะมีจำนวนประมาณ 2.4 ล้านราย เพิ่มขึ้นเล็กน้อยประมาณร้อยละ 0.27 หรือ 34,478 ราย ส่วนจำนวนการจ้างงาน มีจำนวนประมาณ 9.05 ล้านคน ลดลงร้อยละ 1.16
ส่วนดัชนีเพื่อการเตือนภัยอื่นๆ พบว่า มูลค่าตลาดวัดจากรายได้สุทธิ การส่งออก กำไร ผลตอบแทนจากการดำเนินงาน ความสามารถในการชำระหนี้ ผลิตภาพแรงงาน ผลิตภาพทุน อาจจะลดลงต่อเนื่องจากปี 2551 ซึ่งคงจะทำให้ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี ได้แก่ รายได้มูลค่าประมาณ 5.7 ล้านล้านบาท หดตัวจากปี 2551 ร้อยละ 2.33 โดยเป็นการส่งออก 1.58 ล้านล้านบาท หดตัวร้อยละ 6.41; ผลิตภาพแรงงาน ปรับลดลงต่อเนื่องอีกร้อยละ -4.71; ผลตอบแทนจากการดำเนินงานร้อยละ 3.98 ปรับลดลงต่อเนื่องร้อยละ 6.31; ความสามารถในการชำระหนี้ 2.59 เท่า ปรับลดลงต่อเนื่องอีกร้อยละ 5.68; และ ผลิตภาพทุน 0.22 เท่า ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.87
ทั้งนี้ ผลสำรวจ SMEs ( ณ วันที่ 9 เม.ย.) ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการประกอบการได้แก่ ลำดับที่ 1 ปัจจัยด้านเศรษฐกิจไทย ร้อยละ 98.66 กังวลมากขึ้นร้อยละ 0.1 จากปี 2551 เนื่องจากความ วิตกกังวลเรื่อง การลงทุน ความเชื่อมั่น และความสามารถในการส่งออก ที่ยังส่งผลกระทบต่อเนื่อง
ลำดับที่ 2 สถานการณ์ทางการเมือง ร้อยละ 97.21 กังวลเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.40 เนื่องจาก SMEs ยังคงวิตกกังวลเรื่อง ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อและยาวนาน อันจะส่งผระทบต่อความเชื่อมั่น การท่องเที่ยว และเศรษฐกิจไทย จนทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคหันกลับมาเก็บออมแทนการบริโภคที่น่าจะเป็นตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะ SMEs ในภาคกลาง
ลำดับที่ 3 พฤติกรรมผู้บริโภค ร้อยละ 96.23 คิดว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคภายในประเทศน่าจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจในปี 2552 ต่อไปเนื่องจาก SMEs มีความวิตกกังวลว่าเหตุการณ์ทางการเมืองจะส่งผลการออมมากกว่าบริโภคตามปกติ
ลำดับที่ 4 เศรษฐกิจโลก ร้อยละ 91.23 กังวลน้อยลงร้อยละ 2.30 เนื่องจาก SMEs ประเมินว่าเหตุการณ์ภายในประเทศในปัจจุบันน่าจะส่งผลมากกว่า และเริ่มจะเข้าใจในสถานการณ์ที่ผ่านมา
ลำดับที่ 5 การแข่งขันภายในประเทศ ร้อยละ 89.75 กังวลลดลงร้อยละ 0.41 เนื่องจาก SMEs ประเมินว่าเหตุการณ์ภายในประเทศในปัจจุบันน่าจะส่งผลให้ เกิดการชะลอการลงทุนด้านการตลาด แต่ก็คงให้ความสำคัญในลำดับที่ 5 เนื่องจากยังคงวิตกกังวลเรื่องการแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดจากผู้ประกอบการรายใหญ่ หรือผู้ที่มีศักยภาพ จนทำให้ตนเองไม่สามารถอยู่รอดได้
ทั้งนี้ SMEs คาดการณ์รายได้ กว่าร้อยละ 51 คาดว่า ปี 2552 น่าจะมีรายได้รวมลดลงจากปีก่อน กว่าร้อยละ 17 คาดการณ์ว่ารายได้รวมจะเพิ่มขึ้น ขณะที่กว่าร้อยละ 31 คาดการณ์ว่าจะยังรักษาสภาพได้เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2551 ที่ผ่านมา
สำหรับคาดการณ์ส่งออก SMEs กว่าร้อยละ 53 คาดการณ์ว่าตนเองจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกจนทำให้การส่งออกลดลง และ กว่าร้อยละ 31 ประเมินว่าไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่ ร้อยละ 15 ยังคาดการณ์ว่าโอกาศในการเพิ่มยอดการส่งออกยังพอจะเป็นไปได้ในปี 2552 แม้ว่าจะลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนก็ตาม
ส่วนผลกระทบต่อการคาดการณ์ผลกำไร SMEs กว่าร้อยละ 60 คาดการณ์ว่าผลกำไรสุทธิของตนจะลดลงในปี 2552 อย่างไรก็ตามมีผู้ประกอบการประมาณร้อยละ 15 ยังคงคาดการณ์ว่าตนเองจะสามารถสร้างผลกำไรได้ในปี 2552
ดร.ณัฐพล เผยด้วยว่า ผลการสำรวจคาดธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบ และน่าเป็นห่วงมาก ประกอบด้วย ธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมการผลิต ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องอิเล็คทรอนิกส์ เครื่องจักรกล เหล็กโลหะและผลิตภัณฑ์ เครื่องมือเฉพาะด้าน ยานยนต์ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ฯ ต่อเรื่อซ่อมเรือ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม หนังและผลิตภัณฑ์หนัง เยื่อกระดาษ กระดาษ และผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์พลาสติก แก้วและเซรามิค แร่อโลหะที่ใช้ในการก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ อัญมณีและเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์จากไม้ ผลิตภัณฑ์ยาง ผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ และผักผลไม้แปรรูป ตามลำดับ
ส่วนธุรกิจในภาคการบริการ ได้แก่ บริการการก่อสร้าง โรงแรมและภัตตาคาร บริการท่องเที่ยว บริการอสังหาริมทรัพย์ บริการคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ (Digital Content) บริการอำนวยการ บริการเสริมสร้างสุขภาพ สปา และสังคม ตามลำดับ
Labels: สารพัดปัญหารุมกระทืบ SMEs


<< Home